27 ม.ค.62 นายวัส ติงสมิตร ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า กสม.ได้พิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติรับหลักการเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 และขณะนี้ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นว่า เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยซึ่งจะเจริญเติบโตเป็นทรัพยากรสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
ที่ประชุม กสม.จึงมีมติให้เสนอความเห็นต่อ สนช.เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และตนได้ลงนามในหนังสือส่งความเห็นนี้แจ้งประธาน สนช.เมื่อวันที่ 25 ม.ค.62 ที่ผ่านมาแล้ว โดย กสม.เห็นว่าโดยทั่วไปร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีสาระสำคัญที่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งได้รับรองสิทธิในการอยู่รอดและการได้รับการพัฒนาไว้หลายประการ รวมทั้งแนวคิดว่าด้วยการดูแลและให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัยขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
แนวคิดว่าด้วยการพัฒนาเด็กปฐมวัยขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติด้านการศึกษา (UN SDG4) โดยให้มีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยทำหน้าที่ขับเคลื่อนการบังคับใช้กฎหมายนี้ ซึ่งเน้นการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กวัยนี้แบบองค์รวม ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
ปธ.กลม.กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม แนวคิดว่าด้วยการดูแลและให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัยของ UNESCO เด็กปฐมวัย (Early childhood) หมายถึง เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 8 ปี หรือนับแต่วัยทารก วัยเรียนระดับอนุบาล จนถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 2 ดังนั้น การที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ (มาตรา 3) นิยาม "เด็กปฐมวัย" หมายถึง "เด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าหกปีบริบูรณ์และให้หมายความรวมถึงเด็กซึ่งต้องได้รับการพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา" จึงน่าจะไม่สอดคล้องแนวคิดว่าด้วยการดูแลและให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย
ซึ่งการที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 14 (6) และ (7)) กำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย และกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับเด็กปฐมวัยเข้าศึกษาในระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยตามลำดับนั้น กสม.มีความเห็นว่า มาตรฐาน แนวปฏิบัติ และหลักเกณฑ์ดังกล่าว ควรคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กและการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมในด้านต่างๆ ของเด็ก
นอกจากนี้ ควรจัดให้มีหลักสูตรแกนกลางในการพัฒนาเด็กปฐมวัยและหลักสูตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมทั้งให้มีการประเมินผลการนำไปใช้ด้วย ส่วนการขับเคลื่อนนโยบาย ติดตาม กำกับ ดูแลและประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กประถมวัยทั้งระบบ คณะกรรมการนโยบายพัฒนาเด็กประถมวัยควรมอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เป็นหน่วยงานประสานให้เกิดเอกภาพตามแผนงานและนโยบายที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว
นายวัส ยังกล่าวอีกว่า จากผลการศึกษาวิจัยเรื่องผลจากระบบคัดเลือกเข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พบว่า การคัดเลือกโดยการสอบแข่งขันจะส่งผลทางลบต่อพัฒนาการของเด็กทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา การเน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยการท่องจำและฝึกทักษะทางวิชาการ ทำให้สมองของเด็กวัยนี้ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมกับวัย ทั้งยังส่งผลต่อการสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวด้วย
"แม้ว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 8) กำหนดว่า การจัดการเรียนรู้ของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัย แต่ต้องไม่เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการสอบแข่งขันระหว่างเด็กปฐมวัย ร่างพระราชบัญญัตินี้ควรมีมาตรการหรือแนวปฏิบัติอื่นที่เป็นหลักประกันว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและโรงเรียนระดับประถมศึกษาจะไม่ใช้การสอบแข่งขันในระหว่างที่เด็กอยู่ในสถานพัฒนาดังกล่าวหรือในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา" ปธ.กสม.กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี