กสม.-องค์กรผู้หญิง ครอบครัว เด็ก ออกโรงต้านร่าง พรบ.คุ้มครองครอบครัวฉบับรัฐบาล คสช.จี้ สนช.ชะลอพิจารณาไปหลังเลือกตั้ง เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงไม่ควรรีบร้อน ต้องเปิดใจฟังหลายภาคส่วน ชำแหละจุดอ่อนเน้นไกล่เกลี่ยประณีประนอมมากกว่าคุ้มครองเหยื่อผู้เสียหาย โยนความรับผิดชอบให้ พม.แบก สุดท้ายกลายเป็นโศกนาฎกรรมผลิตซ้ำความรุนแรง
31 ม.ค.62 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมด้านผู้หญิง เด็ก และครอบครัว จัดเวทีเสวนาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ....
นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นเวลาสิบกว่าปีไม่ได้ทำให้เกิดความยุติธรรมหรือทำให้ความรุนแรงลดน้อยลง และน่ากังวลว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้ จะให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้ก็ถูกคัดค้านจากองค์กรสิทธิ์ เครือข่ายผู้หญิง เด็ก และครอบครัว เพราะมุ่งเน้นเรื่องการไกล่เกลี่ยประณีประนอมมากกว่าการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และเปิดโอกาสไกล่เกลี่ยทุกขั้นตอนไปจนถึงกระบวนการศาล
"มีคำถามว่า การคุ้มครองความปลอดภัยโดยให้ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวของ พม.ทำหน้าที่ จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ มีการตัดทิ้งกลไกการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้น พม.จะคุ้มครองด้วยวิธีการแบบไหน เพราะที่ผ่านมาเมื่อเราไปเยี่ยมพื้นที่หรือบ้านพัก เราพบว่า พม.ยังมีเจ้าหน้าที่น้อยมาก ในขณะเดียวกัน นิยามความหมายของ "ครอบครัว" ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ สอดคล้องกับสถานการณ์ครอบครัวในสังคมไทยปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางยุคสมัยที่เรามีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวสมัยใหม่มันเปลี่ยนไปแล้ว และอีกประเด็นคือ เจ้าหน้าที่ พม.มีความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมากน้อยแค่ไหน เพราะในบริบทครอบครัวโดยเฉพาะในชนบท ผู้หญิงแทบจะไม่มีอำนาจ และฝากถาม สนช.ว่า ร่างฉบับนี้ซึ่งถูกคัดค้านจากหลากหลายองค์กรด้านผู้หญิง เด็ก และครอบครัว แต่แทนที่จะเปิดโอกาสให้มีการรับฟังความเห็นกันอย่างจริงจัง เหตุใดจึงเร่งรีบ เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน และควรชะลอไว้ก่อน ค่อยดำเนินการหลังเลือกตั้ง
"สำหรับประเทศไทย ในอนุสัญญา CEDAWว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ มีข้อเสนอให้ประเด็นความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นงานระดับชาติ แต่ พม.เป็นกระทรวงเล็ก มีบุคลากรจำกัด แบกรับปัญหาสังคมทุกเรื่องในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้มันสำคัญเพราะเป็นเรื่องชีวิตมนุษย์ ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวของ พม.ที่เป็นหลักในร่างกฎหมายนี้ มีกำลังเจ้าหน้าที่เพียงพอหรือไม่ จะดูแลคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยวิธีไหน ทำไมจึงตัดกลไกของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปจากร่างกฎหมาย และในระดับชุมชนเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล จะเข้าถึงการดูแลของศูนย์ของ พม.ได้มากน้อยแค่ไหน" นางอังคณา ระบุ
ด้าน น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร กล่าววเสริมในกระบวนการทางกฎหมายว่า กฎหมายเดิมคือ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 สืบทอดความเชื่อให้ผู้หญิงอดทน และเมื่อเผชิญความรุนแรง ผู้หญิงซึ่งมีอำนาจน้อยกว่าก็มักต้องยอมที่จะอดทน จนสุดท้าย เกิดความรุนแรง ถูกทำร้าย
น.ส.นัยนา ยังระบุด้วยว่า ใน พ.ร.บ.ฉบับเดิมที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 50 นั้น ผู้ถูกกระทำสามารถไปแจ้งความที่ตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือคุ้มครองได้เลย แต่ในร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ กลับไม่ระบุถึงกลไกนี้ โดยเน้นให้แจ้งเรื่องไปที่ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวที่ พม.จะตั้งขึ้น แล้วให้ศูนย์ฯ เป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งมีแนวโน้มที่เจ้าหน้าที่จะเน้นการไกล่เกลี่ย รวมทั้งศูนย์ของ พม.มีอำนาจยื่นขอชะลอการพิพากษาคดีอาญาที่อยู่ในชั้นศาลได้ด้วย ซึ่งมันจะนำกลับไปที่จุดเดิม คือการไกล่เกลี่ย แล้วอาจเกิดโศกนาฎกรรม ผลิตซ้ำความรุนแรง
"ร่างกฎหมายฉบับใหม่ ไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายอย่างเพียงพอ แต่เน้นการไกล่เกลี่ยประณีประนอมเป็นหลัก เมื่อผัวตีเมีย หรือเกิดความรุนแรง ร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ได้ระบุว่าต้องไปแจ้งความหรือไปโรงพัก แต่ให้ไปร้องขอการคุ้มครองจากศูนย์ของ พม.แล้วทางศูนย์ฯ จะส่งเรื่องไปยังศาลเยาวชนฯ เพื่อให้ศาลสั่งคุ้มครอง ซึ่งในทางปฎิบัติจะยุติความรุนแรงได้มากน้อยแค่ไหน อาจมีการทุบตีเกิดขึ้นอีก และเมื่อเข้าสู่กระบวนการนี้ บทลงโทษจะเบามาก เป็นการลงโทษฐานขัดคำสั่งศาล แต่ร่างกฎหมายไม่ได้ระบุโทษของการทุบตีเมีย ถือเป็นการผลิตซ้ำความเชื่อเดิมในกฎหมายฉบับเดิม ทั้งๆ ที่ควรคงโทษฐานกระทำความรุนแรงไว้ และทำให้ผู้ที่ถูกกระทำได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง" น.ส.นัยนา ระบุ
ผอ.มูลนิธิธีรนาถฯ ยังระบุด้วยว่า เจตนารมย์หลักของรัฐบาล คสช.ที่เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้คนที่ใช้ความรุนแรงกลับตัวแล้วยอมความกันได้ แต่ในทางสากล เรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระบวนการยุติธรรมต้องออกแบบให้ผู้ที่ถูกกระทำได้รับการปกป้องคุ้มครองเป็นหลัก จึงไม่ควรที่จะถอดกลไกที่ระบุอำนาจหน้าที่ของตำรวจออก แล้วให้มาอยู่ใต้อำนาจของ พม.เบ็ดเสร็จ แม้จะมีเจตนาดีให้ พม.เป็นที่พึ่ง แต่ควรสรุปบทเรียนจากการทำงานแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวสิบกว่าปีที่ผ่านมา และควรให้มีกลไกที่กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆต้องมีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินการร่วมกันอย่างชัดเจน ทั้งตำรวจ สาธารณสุข และ พม.ภายใต้สถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่นับวันจะรุนแรงขึ้น
ขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้ระบุกลไกการคุ้มครองผู้ถูกกระทำให้ชัดเจน ที่ผ่านมา มีสถิติฆ่ากันตายในครอบครัวเพิ่มขึ้น แต่ร่าง พ.ร.บ.กลับให้น้ำหนักกับการไกล่เกลี่ย อีกทั้ง พม.ยังขาดกลไกที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือ คุ้มครองให้ผู้ถูกกระทำสามารถลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองได้ และศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนที่ พม.จะตั้งขึ้นตามร่างกฎหมายนี้ ควรมีบทบาทหน้าที่ในการเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงซ้ำ ไม่ใช่ไปเน้นทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอม
ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ชี้ว่าสิ่งที่สำคัญ คือ การที่รัฐต้องสนับสนุนให้ชุมชนสามารถเฝ้าระวังปัญหาความรุนแรงได้ ไม่ใช่กำหนดบทบาทหน้าที่ให้รัฐทำฝ่ายเดียว โดยต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และชุมชนต้องมีบทบาทสำคัญในการช่วยกันสอดส่องป้องกันและแก้ไขปัญหา พวกเราเครือข่ายกว่า 20 องค์กร เห็นจุดอ่อนของร่าง กม.ฉบับนี้ เห็นควรว่าไม่ควรรีบเร่งให้ผ่านการพิจารณา แต่ควรรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการ หรือชะลอแล้วปรับแก้ไขโดยให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี