5 ก.พ.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ….
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ยกเลิกพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “นายจ้าง” “ลูกจ้าง” “สภาพการจ้าง” “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” “ปิดงาน” “นัดหยุดงาน” “สมาคมนายจ้าง” “สหภาพแรงงาน” “สหพันธ์นายจ้าง” “สหพันธ์แรงงาน” เป็นต้น
3. หมวด 1 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยให้ทำเป็นหนังสือกำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างประกอบด้วยเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน ค่าจ้าง การเกษียณอายุหรือครบสัญญาจ้าง เป็นต้น ให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาจดทะเบียนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ตกลงกัน
4. หมวด 2 วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน กำหนดให้เมื่อมีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่พ้นกำหนดเวลาหรือนับแต่เวลาที่ตกลงกันไม่ได้ กรณีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยต่อไป หรือนำข้อพิพาทนั้นไปเจรจาตกลงกันเอง หรือตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน หรือปิดงานหรือนัดหยุดงานโดยไม่ขัดต่อกฎหมายก็ได้ นอกจากนี้ได้กำหนดให้กิจการบางประเภทเมื่อมีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ต้องส่งข้อพิพาทแรงงานให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาด อาทิ กิจการไฟฟ้า กิจการประปา กิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง รวมทั้งกิจการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเห็นว่าข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้นอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน
5. หมวด 3 การปิดงานและการนัดหยุดงาน กำหนดให้นายจ้างอาจปิดงาน หรือลูกจ้างอาจนัดหยุดงานได้ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้
6. หมวด 4 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กำหนดองค์ประกอบ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ โดยให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อพิพาทแรงงาน การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเรียกร้อง การเจรจา การระงับข้อพิพาทแรงงาน การนัดหยุดงานและการปิดงานตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
7. หมวด 5 คณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ในการส่งเสริม ป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ต่อรัฐมนตรี และเสนอความเห็นในการปรับปรุงกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ ต่อรัฐมนตรี
8. หมวด 6 คณะกรรมการลูกจ้าง กำหนดให้มีคณะกรรมการลูกจ้างเพื่อทำหน้าที่ประชุมหารือกับนายจ้างเพื่อจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้าง กำหนดข้อบังคับในการทำงานพิจารณาคำร้องทุกข์ของลูกจ้าง ตลอดจนหาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในสถานประกอบกิจการ
9. หมวด 7 สมาคมนายจ้าง หมวด 8 สหภาพแรงงาน และหมวด 9 สหพันธ์นายจ้างและสหพันธ์แรงงาน กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการจัดตั้ง การเข้าเป็นสมาชิก และการดำเนินกิจการของสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหพันธ์นายจ้าง สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้าง โดยสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหพันธ์นายจ้าง สหพันธ์แรงงานมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างให้แก่สมาชิกและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
10. หมวด 10 การกระทำอันไม่เป็นธรรม กรณีที่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ห้ามนายจ้างกระทำต่อลูกจ้าง เช่น การเลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้างกำลังร่วมกันจัดตั้งสหภาพแรงงาน กำลังจะเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นกรรมการของสหภาพแรงงาน เป็นต้น
11. หมวด 11 บทกำหนดโทษ กำหนดโทษทางอาญาต่อผู้ที่กระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้แทนนายจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง ที่ปรึกษานายจ้าง ที่ปรึกษาลูกจ้าง ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน สมาคมนายจ้างสหภาพแรงงาน หรือผู้ชำระบัญชีก็ตาม และให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
1. วันบังคับใช้ |
ให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป |
2. บทนิยาม |
เพิ่มนิยามเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาอนุญาต ได้แก่ คำว่า “กระบวนการพิจารณาอนุญาต” “ผู้เชี่ยวชาญ” “องค์กรผู้เชี่ยวชาญ” “หน่วยงานของรัฐ” “องค์กรเอกชน” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ |
3. เพิ่มหมวด 1/1 กระบวนการพิจารณาอนุญาต |
- กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีอำนาจขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหาร - กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการอาหารมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร - กำหนดให้ค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นเงินของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนด |
4. การผลิตเพื่อการส่งออก |
- กำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิตเพื่อการส่งออก ต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอาหารนั้นให้ผู้อนุญาตทราบ รวมทั้งจัดเก็บเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับข้อกำหนดของประเทศผู้ซื้อหรือผู้สั่งซื้อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ |
5. กำหนดลักษณะของอาหารไม่บริสุทธิ์ และแก้ไขบทกำหนดโทษเกี่ยวกับอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือจำหน่ายให้มีอัตราโทษที่เหมาะสมกับปัจจุบัน |
- กำหนดลักษณะของอาหารไม่บริสุทธิ์เพิ่มเติม โดยกำหนดให้อาหารที่มียาหรือสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือปนอยู่ด้วย เป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ - แก้ไขบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการผลิต นำเข้าหรือจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ อาหารปลอม และอาหารผิดมาตรฐาน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน |
6. การควบคุมและกำกับดูแลการโฆษณาอาหาร |
- ให้ผู้อนุญาต (เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือผู้ซึ่งเลขาธิการฯ มอบหมาย) มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ทำการโฆษณา ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายอาหารดำเนินการแล้วแต่กรณี กรณีผู้อนุญาตเห็นว่าการโฆษณาอาหารเป็นการโฆษณาที่ใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม เช่น ข้อความที่เป็นความเท็จหรือเกินความจริง ข้อความที่แสดงสรรพคุณอันทำให้เข้าใจว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคหรืออาการของโรค - การขออนุญาต การออกใบอนุญาต และอายุใบอนุญาตโฆษณาอาหาร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด - ผู้ได้รับอนุญาตให้โฆษณาอาหาร ต้องโฆษณาตามรายละเอียดและเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น - ให้ผู้อนุญาตมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้ทำการโฆษณา ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายอาหารดำเนินการแก้ไขการดำเนินการกับโฆษณาอาหารที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ให้แก้ไขข้อความหรือวิธีการในการโฆษณา ให้โฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของประชาชน สั่งงดการผลิต การนำเข้า หรือการจำหน่ายอาหาร ที่คณะกรรมการเห็นว่าไม่มีคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณตามที่โฆษณา |
7. การดำเนินการกับของกลางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย |
ให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งทำลายหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดกับของกลางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายตามที่เห็นสมควร โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการอาหารกำหนด |
8. อำนาจเปรียบเทียบปรับ |
ให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดกรณีที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน |
9. บทเฉพาะกาล |
- ใบอนุญาตโฆษณาอาหารที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และยังมีผลใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไป จนกว่าใบอนุญาตโฆษณานั้นจะสิ้นอายุ - คำขออนุญาต คำขอประเมินเอกสารวิชาการ หรือคำขอใด ที่ได้ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเป็นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นในกรณีที่คำขอใดมีข้อแตกต่างไปจากคำขอตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามด้วย - ให้ดำเนินการออกกฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบให้แล้วเสร็จภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรี |
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขตามมติที่ประชุมซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ในการจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นั้น พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 ได้กำหนดให้ยุบเลิกเมื่อพ้นกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ฉบับที่ 2 ให้ขยายระยะการดำเนินการของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ออกไปอีก รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 8 ปี (ครบระยะเวลายุบเลิกในวันที่ 7 มิถุนายน 2562) การขอขยายระยะเวลาการดำเนินการในครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 2 โดยสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ขอขยายระยะเวลาดำเนินการออกไปอีก 3 ปี นับแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2562 (ครบกำหนดในวันที่ 7 มิถุนายน 2565) รวมระยะเวลาการดำเนินงานทั้งสิ้น 11 ปี นอกจากนี้ ได้ขอแก้ไขการกำหนดอายุขั้นสูงของประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารจัดการธนาคารที่ดิน จากเดิม มีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ เป็น ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งกำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะครบวาระที่ได้รับแต่งตั้ง เนื่องจากสถาบันฯ มีความจำเป็นต้องดำเนินงานตามภารกิจที่อยู่ในโครงการตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกษตรกรและผู้ยากจนได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานของสถาบันฯ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินของประเทศต่อไป และเพื่อให้การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. แก้ไขการกำหนดอายุขั้นสูงของประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากเดิม มีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ เป็น ไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์
2. แก้ไขระยะเวลาการยุบเลิก บจธ. จากเดิม เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 8 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (ใช้บังคับวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ครบกำหนด 8 ปีวันที่ 7 มิถุนายน 2562) เป็น “พ้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2562”
3. กำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ บจธ. ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะครบวาระที่ได้รับแต่งตั้ง
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สม.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียว แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ สม. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ สม. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2559 ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน |
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง |
ก. ราชการบริหารส่วนกลาง 1. สำนักงานเลขานุการกรม 2. กองกฎหมาย 3. กองการเงินการคลังภาครัฐ 4. กองการเจ้าหน้าที่ 5. กองการพัสดุภาครัฐ 6. กองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ 7. กองคดี 8. กองค่าตอบแทนและประโยชน์เกื้อกูล 9. กองตรวจสอบภาครัฐ 10. กองบัญชีภาครัฐ 11. กองบริหารการเบิกจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำเหน็จบำนาญ 12. กองบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ 13. กองแผนงาน 14. กองระบบการคลังภาครัฐ 15. กองละเมิดและแพ่ง 16. กองสวัสดิการรักษาพยาบาล 17. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
18. สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐ 19.-27. สำนักงานคลังเขต 1-9 ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สำนักงานคลังจังหวัด |
1. สำนักงานเลขานุการกรม (คงเดิม) 2. กองกฎหมาย (คงเดิม) 3. กองการเงินการคลังภาครัฐ (คงเดิม) 4. กองการพัสดุภาครัฐ (คงเดิม) 5. กองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ (คงเดิม) 6. กองคดี (คงเดิม) 7. กองความร่วมมือและความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (เพิ่มเติม) 8. กองค่าตอบแทนและประโยชน์เกื้อกูล (คงเดิม) 9. กองตรวจสอบภาครัฐ (คงเดิม) 10. กองบริหารการเบิกเงินจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำเหน็จบำนาญ (คงเดิม) 11. กองบริหารการรับ – จ่ายเงินภาครัฐ (คงเดิม) 12. กองบริหารทรัพยากรบุคคล (เปลี่ยนชื่อจาก กองการเจ้าหน้าที่) 13. กองบัญชีภาครัฐ (คงเดิม) 14. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อจากกองแผนงาน) 15. กองระบบการคลังภาครัฐ (คงเดิม) 16. กองระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและราคากลาง (เพิ่มเติม)
17. กองละเมิดทางแพ่ง (คงเดิม) 18. กองสวัสดิการรักษาพยาบาล (คงเดิม) 19. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (เปลี่ยนชื่อจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ) 20. สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐ (คงเดิม) 21.-29. สำนักงานคลังเขต 1 – 9 ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) |
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่ง ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. 2551 ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน |
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง |
1. สำนักบริหารกลาง 2. ด่านศุลกากร ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 3. สำนักกฎหมาย 4. สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 5. สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 6. สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 7. สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 8. สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ 9. สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 10 . – 13. สำนักงานศุลกากรภาคที่ 1 – 4 ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 14. สำนักตรวจสอบอากร 15. สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 16. สำนักบริหารทรัพยากรบุคคล 17. สำนักแผนและการต่างประเทศ 18. สำนักพิกัดอัตราศุลกากร 19. สำนักมาตรฐานพิธีการและราคาศุลกากร 20. สำนักสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร 21. สำนักสืบสวนและปราบปราม |
สำนักงานเลขานุการกรม (เปลี่ยนชื่อ) ด่านศุลกากร ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) กองกฎหมาย (คงเดิม) สำนักงานศุลกากรกรุงเทพ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (คงเดิม) สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (คงเดิม) สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าลาดกระบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (เปลี่ยนชื่อ) สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) สำนักงานศุลกากร ภาคที่ 1 – 4 ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (คงเดิม) กองตรวจสอบอากร (เปลี่ยนชื่อ) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (เปลี่ยนชื่อ) กองบริหารทรัพยากรบุคคล (เปลี่ยนชื่อ) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อ) กองพิกัดอัตราศุลกากร (เปลี่ยนชื่อ) กองมาตรฐานพิธีการและราคาศุลกากร (เปลี่ยนชื่อ) กองสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร (เปลี่ยนชื่อ) กองสืบสวนและปราบปราม (เปลี่ยนชื่อ) สำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานดอนเมือง กองบริหารจัดการและพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ (ตั้งใหม่)
|
7. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
1. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทุกกระทรวง หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่สำนักตรวจราชการที่ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมาย จำนวน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ การได้มา และการทำหน้าที่ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน (ทปษ. ภาคประชาชน) วางแนวทางปฏิบัติงานของ ทปษ. ภาคประชาชน เพื่อการมีส่วนร่วมกับกลไกการตรวจราชการอย่างมีประสิทธิภาพ พิจารณาและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเพื่อเสนอชื่อเป็น ทปษ. ภาคประชาชน และ เสนอความเห็นต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในการปฏิบัติงานของ ทปษ. ภาคประชาชน เป็นต้น
2. กำหนดให้ในจังหวัดหนึ่งให้มี ทปษ. ภาคประชาชน จำนวน 4 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านวิชาการ ด้านละไม่เกิน 3 คน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษา ข้อมูล ข้อเท็จจริง และประเด็นปัญหาในพื้นที่แก่ผู้ตรวจราชการในเรื่องที่ตรวจราชการหรือตามที่ได้รับการประสานงาน เข้าร่วมการตรวจราชการกับผู้ตรวจราชการตามที่ได้รับการประสานงาน นำนโยบายและผลงานของหน่วยงานที่ได้รับจากการเข้าร่วมการตรวจราชการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ และรับฟังข้อมูลย้อนกลับเสนอต่อผู้ตรวจราชการ และปฏิบัติงานอื่นตามที่ผู้ตรวจราชการมอบหมาย
3. กำหนดให้ สปน. จัดทำการประเมิน ทปษ. ภาคประชาชน เพื่อพัฒนากลไก ทปษ. ภาคประชาชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน และให้นำผลการประเมินไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ
4. กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และจริยธรรมของ ทปษ. ภาคประชาชน
5. กำหนดให้ สปน. จัดทำข้อมูลสารสนเทศของ ทปษ. ภาคประชาชน รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนากลไก ทปษ. ภาคประชาชน ให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจราชการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
6. กำหนดให้จังหวัด ส่วนราชการระดับจังหวัด และอำเภอหรือเขต ให้ความร่วมมือและสนับสนุน ทปษ. ภาคประชาชนในการปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่
7. กำหนดให้ผู้ตรวจราชการสนับสนุนกลไก ทปษ. ภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจราชการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
เศรษฐกิจ- สังคม
8. เรื่อง ขอเสนอให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธาน ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 เห็นชอบการประกาศให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ และให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานกรรมการ) พิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวในมิติต่าง ๆ แล้วเห็นว่า มิติวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ปลากัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว มิติด้านประโยชน์ใช้สอย ปลากัดไทยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยในหลายประการ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์
ซึ่งนำไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ก็ยังสามารถนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงเพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้ และมิติด้านความเป็นเจ้าของและความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว “ปลากัดไทย” (ชื่อวิทยาศาสตร์ Betta splendens) นั้น เป็นที่รู้จักในระดับสากล ผ่านชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” จึงเป็นเครื่องสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปลากัดไทยนั้น มีต้นกำเนิดมาจากไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้ จึงเห็นควรให้ใช้เหตุผลนี้ประกาศให้ “ปลากัดไทย” เป็นสัตว์น้ำประจำชาติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อไป
9. เรื่อง การปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารออมสิน พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนพนักงานธนาคารออมสิน ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามมติ ครรส. ครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561 ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
2. เห็นชอบการปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. โดยให้ปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานที่ยังไม่ถึงอัตราขั้นต่ำของกระบอกเงินเดือนให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำในลำดับแรก และปรับเพิ่มเงินเดือนเพื่อชดเชยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการที่พนักงานได้รับการปรับเงินเดือนเข้าสู่ระดับขั้นต่ำ โดยให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือนเข้าสู่ระดับขั้นต่ำได้ตามแนวทางที่เหมาะสม โดยรวมแล้วไม่เกินร้อยละ 1 ของฐานเงินเดือนพนักงาน ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มได้เพียงครั้งเดียวตามมติ ครรส.
3. การขอปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและการขอปรับเพิ่มเงินเดือนในแต่ละครั้งจะต้องเว้นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีขึ้นไป โดยมิให้นำเหตุแห่งการปรับเงินเดือนของข้าราชการมาเป็นประเด็นในการพิจารณา
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เป็นการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ของพนักงานธนาคารออมสิน พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 13 วรรคสาม บัญญัติให้ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจใด เห็นสมควรปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 13 (2) จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) และคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการได้ โดย ครรส. ได้เห็นชอบในเรื่องนี้แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 และ ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561
กระทรวงการคลังแจ้งว่า ภายหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนในครั้งนี้ ทั้ง 3 ธนาคารมีแผนจะใช้เงินรายได้ของตนเองเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนพนักงานที่เพิ่มขึ้น จึงไม่เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเงินรายได้ดังกล่าวจะนำมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในการสร้างรายได้มาชดเชยและการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยไม่ผลักภาระให้แก่ผู้ใช้บริการ
10. เรื่อง โครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาคสาขากันตัง (ควนกุน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบแผนงานโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาค สาขากันตัง (ควนกุน) (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุน โครงการ 29.579 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลน และปะการังของประเทศ) และวันที่ 22 สิงหาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เป็นกรณีเฉพาะราย ทั้งนี้ ในส่วนของการปลูกป่าทดแทน ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 อย่างเคร่งครัด
3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีเคยมีมติ (7 เมษายน 2558) เห็นชอบการดำเนินโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังการรับโอน การประปาส่วนภูมิภาคสาขากันตัง (ควนกุน) วงเงิน 49 ล้านบาท (ใช้เงินอุดหนุน ร้อยละ 100) ซึ่งตามแผนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวจะมีการก่อสร้างระบบผลิตน้ำขนาด 200 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง พร้อมก่อสร้างระบบจ่ายน้ำเพื่อจ่ายน้ำให้บริการชุมชนเทศบาลตำบลควนกุนและชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว แต่เนื่องจากในปี 2559 เกิดสถานการณ์ภัยแล้งในบริเวณพื้นที่ที่โครงการดังกล่าวจะให้บริการน้ำประปาต่อประชาชน การประปาส่วนภูมิภาค จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน โดยเปลี่ยนเป็นดำเนินการก่อสร้างระบบผลิตน้ำ แบบ Mobile ขนาด 100 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง ขึ้นมาแทนเพื่อแก้ปัญหาปัญหาดังกล่าวก่อน โดยเป็นการใช้งบประมาณของการประปาส่วนภูมิภาคในการดำเนินงานเองทั้งหมด ทั้งนี้ การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาแล้วเห็นว่าระบบผลิตน้ำแบบ Mobile ขนาด 100 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้เพียงพอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องก่อสร้างระบบผลิตน้ำขนาด 200 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง ตามแผนงานเดิมแล้ว ดังนั้น การประปาส่วนภูมิภาคจึงปรับปรุงรายละเอียดแผนงานของโครงการดังกล่าวใหม่ โดยสรุป ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบจ่ายน้ำประปาให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และเพื่อส่งเสริมสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
2. ระยะเวลาและแผนการดำเนินงาน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินโครงการประมาณ 2 ปี
3. ความพร้อมด้านที่ดิน กำหนดให้ดำเนินการก่อสร้างในที่ดินเดิม
4. ผลตอบแทนทางการเงิน
- กรณีค่าน้ำคงที่ โดยไม่มีการปรับค่าน้ำตลอดอายุโครงการ 25 ปี จะมีผลตอบแทน ตามมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 2.658 ล้านบาท
- กรณีได้ปรับอัตราค่าน้ำ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยปรับทุก ๆ 3 ปี จะมีผลตอบแทนตามมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 18.210 ล้านบาท
5. ความเสี่ยงโครงการ
- การประปาส่วนภูมิภาคได้มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงในกรณีมีแนวโน้มวิกฤติน้ำจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ รวมทั้งมีการประสานงานกับผู้นำชุมชนและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ถึงแผนงานข้างต้นแล้ว
- ไม่เข้าข่ายประเภทโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ในช่วงการก่อสร้างจะมีการวางท่อจ่ายน้ำตามแนวเขตทางถนน และอาจมีการวางท่อในเขตที่ชุมชนหนาแน่น ซึ่งอาจมีผลกระทบในเรื่องฝุ่นละอองจากการจราจร และการขุดดิน การประปาส่วนภูมิภาคได้มีมาตรการในการป้องกันความเสี่ยง โดยประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ทราบล่วงหน้า และประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
11. เรื่อง โครงการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure : AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
(Advanced Metering Infrastr1ucture : AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่วงเงินลงทุนรวม 1,810 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน 1,357 ล้านบาท (ร้อยละ 75) และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน 453 ล้านบาท (ร้อยละ 25)
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
จำนวน 50,000 ราย ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่เกิดใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี และระบบมิเตอร์การอ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (AMR) มีการใช้งานมาแล้วประมาณ 10 ปี ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งาน ได้แก่ ความจุของฐานข้อมูลไม่สามารถรองรับการเก็บข้อมูลได้เพียงพอ ส่งผลให้การใช้งานต่าง ๆ ทำงานได้ช้าลง จำเป็นต้องตัดการทำงานบางส่วนออกไป และระบบพัฒนาการอ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (AMR) ปัจจุบันรองรับการทำงานของมิเตอร์จากผู้ผลิตรายเดียว ส่งผลให้การจัดซื้อมิเตอร์เพื่อทดแทนมิเตอร์เดิมที่ชำรุดต้องจัดซื้อด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ดังนั้น กฟภ. จึงได้จัดทำโครงการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยใช้โปรโตคอลกลางในการเชื่อมต่อระหว่างระบบกับมิเตอร์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับมิเตอร์ได้หลายผู้ผลิต นอกจากนี้ในส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ยังถูกออกแบบให้สามารถรองรับการทำงานของมิเตอร์ได้ถึง 300,000 ชุด ทำให้สามารถรองรับมิเตอร์ทั้งหมดของโครงการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) และโครงการพัฒนาการอ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติ (AMR) ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 (จำนวน 95,250 ชุด) ทั้งยังรองรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ที่เกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งได้จัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการดังกล่าว
2.1 วัตถุประสงค์ เพื่อขยายผลและติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) สำหรับผู้ใช้
ไฟฟ้ารายใหญ่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสร้างความมั่นใจ และพึงพอใจในการอ่านหน่วยไฟฟ้าที่ถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว อีกทั้งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใส การปฏิบัติงานที่ดี และด้านการบริหารงานที่ดีของ กฟภ.
2.2 เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ ติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า รายใหญ่ จำนวน 70,000 ชุด ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ทั่วประเทศ ยกเว้นผู้ใช้ไฟฟ้าติดตั้งมิเตอร์ตามโครงการพัฒนาการอ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ (AMR) ระยะที่ 1 และ 2 แล้ว
1) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมทุกรายเป็นลำดับแรก
2) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทธุรกิจและอุตสาหกรรม นอกนิคมอุตสาหกรรม ที่ติดตั้งหม้อแปลงขนาด 100 KVA ขึ้นไป
3) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทุรกิจและอุตสาหกรรม นอกนิคมอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 30 kW ขึ้นไป
4) กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ ที่ยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์ตามโครงการพัฒนาการอ่านหน่วยไฟฟ้าอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ (AMR) ระยะที่ 1 และ 2
2.4 ปริมาณงาน
1) ติดตั้งมิเตอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์ประกอบ 70,000 ชุด
2) ติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ 1 ระบบ
3) ติดตั้งระบบโครงข่ายสื่อสาร 1 ระบบ
2.5 ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2562 – 2566)
2.6 แผนการดำเนินงาน ตามแผนงานโครงการจะดำเนินการระหว่างปี 2562 – 2566 โดย
ปีแรกจะเป็นการเตรียมดำเนินการ ส่วน 4 ปีหลังจะเป็นการดำเนินการติดตั้งระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) จำนวน 70,000 ราย และประเมินผลโครงการ
จัดตั้งสำนักงานโครงการซึ่งจะประสานกับฝ่ายต่าง ๆ และการไฟฟ้าจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการออกแบบระบบมิเตอร์อัจฉริยะ (AMI) กำหนดรายละเอียด และดำเนินการติดตั้งมิเตอร์อัจฉริยะตามโครงการ
Bidding) โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดในการจัดซื้อของ กฟภ. และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
2.7 ผลตอบแทนของโครงการ โดยศึกษาผลตอบแทนทางการเงิน (ตลอดายุโครงการ 5 ปี) ด้านค่าใช้จ่าย ด้านผลตอบแทน (รายได้ และมูลค่าทรัพย์สินคงเหลือ) และศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Benefit) ได้แก่ การลดค่าใช้จ่าย การจดหน่วยพลังงานไฟฟ้า ลดการสูญเสียจากการละเมิดการใช้ไฟฟ้า และการลดความต้องการกำลังไฟฟ้าสูงสุด มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Costs)
3. ผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
พื้นที่สำหรับการดำเนินการตามแผนงานฯ ไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment : EIA) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environment Examination : IEE) เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามแผนงานที่ตั้งไว้ กฟภ. จะเร่งดำเนินการติดตั้งมิเตอร์อย่างรอบคอบ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทราบอย่างทั่วถึงก่อนการดำเนินงาน
12. เรื่อง โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบดังนี้
1. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1.1 อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภุมิภาค (กฟภ.) ยกเลิกการดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540
1.2 อนุมัติให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะ
ต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) วงเงินลงทุน 221 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน 165 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน 56 ล้านบาท
1.3 เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 165 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
1.4 ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรับมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ)เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ.
1.5 ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530
วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 เกี่ยวกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) ของ กฟภ.
โดยในส่วนของการกู้เงินให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปฏิบัติตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 ต่อไปด้วย
3. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของการประปาส่วนภูมิภาคในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 ตุลาคม 2540) เห็นชอบให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) นั้น กฟภ. ได้ดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างโครงการดังกล่าวต่อกรมอุทยานอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งผลการพิจารณาว่า การปักเสาพาดสายเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ป่าชายเลนอาจส่งผลกระทบทางลบต่อความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าชายเลนในบริเวณนั้นและยังเป็นการทำให้ทัศนียภาพที่สวยงามตามธรรมชาติของป่าชายเลนสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่อคุณค่าความเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียนในอนาคต อีกทั้งอาจจะเป็นประเด็นปัญหาในการเสนอแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติได้ ดังนั้น จึงขอให้ กฟภ. พิจารณาทบทวนการศึกษารูปแบบโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา)
2. กฟภ. ได้ทำการศึกษารูปแบบการจัดทำโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบของโครงการฯ จากเดิม ก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าด้วยรูปแบบสายเคเบิลอากาศพันเกลียวร่วมกับสายเคเบิลใต้น้ำ วงเงินลงทุน 24.77 ล้านบาท เปลี่ยนเป็น ก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าด้วยรูปแบบสายเคเบิลใต้น้ำตลอดทั้งแนวการวางสาย วงเงินลงทุน 221 ล้านบาท ทั้งนี้ คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการประชุม ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ได้ให้ความเห็นชอบโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) (ใหม่) โดยมีรายละเอียดโครงการฯ ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์
1) เพื่อบริการไฟฟ้าให้หมู่บ้านชนบทได้มีไฟฟ้าใช้ตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องในพื้นที่เกาะ
2) พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบนเกาะและสร้างทัศนคติที่ดีของประชาชนต่อรับบาล กล่าวคือ มีความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้ง แม้อยู่บนเกาะกลางทะเลที่ห่างไกล
2.2 เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ : ขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้
เกาะปันหยี จังหวัดพังงา
2.3 ปริมาณงาน
รายการ |
ปริมาณงาน |
1. ก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำระบบ 33 กิโลโวลต์ |
จำนวน 1 วงจร ระยะทาง 7.2 กิโลเมตร |
2. ติดตั้งหม้อแปลงจำหน่าย ขนาด 250 เควีเอ |
2 ชุด |
3. ก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าบนเกาะ |
จำนวน 1 วงจร ระยะทาง 3.86 กิโลเมตร |
4. อุปกรณ์ป้องกัน |
2 ชุด |
2.4 ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี พ.ศ. 2562 – 2563 โดยปีแรกจะเป็น
การเตรียมดำเนินการ ส่วนปีหลังจะเป็นการดำเนินการก่อสร้างและประเมินผล
2.5 ผลกระทบโครงการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม : (1) ลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และกระจายความเจริญไปสู่ส่วนภูมิภาคและชนบท (2) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าในชุมชนอย่างประหยัด ซึ่งจะก่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ (3) ระหว่างการวางสายเคเบิลใต้น้ำจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำ ซึง กฟภ. มีมาตรการลดผลกระทบดังกล่าวแล้ว เช่น การติดตั้งม่านดักตะกอนขณะวางสายเคเบิลใต้น้ำเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของตะกอน ซึ่งจะกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น
13. เรื่อง การดำเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอให้ บจธ. นำเงินงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีที่คงเหลือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 จำนวน 400,427,037 บาท เพื่อดำเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. ซึ่งคณะกรรมการ บจธ. ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
ชื่อโครงการ |
วงเงิน (บาท) |
l โครงการเดิม (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559) |
278,039,036 |
1. โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร |
233,253,535 |
2. โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน |
44,785,501 |
l โครงการใหม่ |
122,388,001 |
3. โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน |
86,032,687 |
4. โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ |
36,355,314 |
รวม |
400,427,037 |
14. เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามมติที่ประชุมซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562
2. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 [เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง] มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 [เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง]
สาระสำคัญของเรื่อง
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้เป็นประธานในการประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 โดยมีสำนักงาน ก.ก.ต. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) สลค. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมเห็นว่า เพื่อให้แนวทางในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อเป็นการป้องกันและขจัดการซื้อสิทธิขายเสียงอันถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ที่ประชุมจึงมีมติร่วมกันว่า สมควรยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 วันที่ 9 ตุลาคม 2550 และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 และกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปเสียใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
1. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง
2. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท ทุกระดับทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
3. นับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป จนถึงวันเลือกตั้ง การแต่งตั้ง (โยกย้าย) ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุกประเภทและทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้พิจารณาเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการเลือกตั้ง
4. ให้ข้าราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐ ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
5. ให้หน่วยงานทุกฝ่ายตามข้อ 4 สนับสนุนเกี่ยวกับสถานที่ปิดประกาศ และที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เพียงพอและเท่าเทียมกัน
6. ให้มีการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจ พลเรือน และอาสาสมัครด้านความปลอดภัยเพื่อให้การคุ้มครองประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งได้รับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
15. เรื่อง แนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอเรื่องแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ดังนี้
สาระสำคัญ
แนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และ ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กรอบแนวคิด แนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เป็นการแก้ไขปัญหาซึ่งจะต้องพิจารณาผลกระทบในทุกมิติ โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และไม่ให้เกิดความไม่สะดวกจากการใช้ชีวิตปกติมากเกินไป
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9) กระทรวงอุตสาหกรรม 10) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 11) สำนักนายกรัฐมนตรี
3. เป้าหมาย "สร้างอากาศดี เพื่อคนไทย และผู้มาเยือน"
4. มาตรการและแนวทางการดำเนินงาน เป็นการเตรียมการป้องกันและลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) แบ่งเป็น 3 ระยะได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ได้แก่
1) มาตรการระยะเร่งด่วน ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและพบค่าเกินมาตรฐาน โดยได้มีแนวทางการปฏิบัติ 3 ขั้น ประกอบด้วย
(1) ขั้นเตรียมการ (ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ : กันยายน - พฤศจิกายน) เป็นขั้นตอนการสร้างความเข้าใจ ให้แก่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และ 5 จังหวัดปริมณฑล โดยให้จังหวัดมี การตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ และเตรียมพร้อมเพื่อสั่งการ หากปริมาณฝุ่นละอองในพื้นที่มีปริมาณสูงขึ้น
(2) ขั้นปฏิบัติการ (ช่วงเกิดสถานการณ์ : ธันวาคม - เมษายน) เป็นการปฏิบัติการ ช่วงเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินมาตรฐานซึ่งได้ปรับปรุงแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนในขั้นปฏิบัติการสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจหน้าที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีตามการเคลื่อนไหวของสถานการณ์ฝุ่นละอองที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยได้กำหนดระดับการยกระดับความเข้มข้นของมาตรการตามความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง เป็น 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 เป็นระดับที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) มีค่าไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้ส่วนราชการทุกหน่วยต้องดำเนินการตามภารกิจ อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ให้ครบถ้วนตามสภาวการณ์ปกติ เพื่อควบคุมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับปกติ
ระดับที่ 2 เป็นระดับที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) มีค่ามากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้ทุกส่วนราชการต้องดำเนินการเพิ่มและยกระดับมาตรการต่างๆ ให้เข้มงวดขึ้น โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยส่วนราชการอื่นๆ เป็นหน่วยสนับสนุนการดำเนินการโดยมาตรการในระดับนี้ ได้แก่
ระดับที่ 3 เป็นระดับที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ยังไม่ลดลงและมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังจากที่ได้มีการดำเนินการในระดับที่ 2 แล้ว ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีปัญหาฝุ่นละออง ใช้กฎหมายที่มีอยู่เข้าไปควบคุมพื้นที่หรือควบคุมแหล่งกำเนิดที่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือมีผลกระทบต่อประชาชนเพื่อระงับยับยั้งสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ระดับที่ 4 เป็นระดับที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ยังไม่ลดลง และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ และพิจารณากลั่นกรองแนวทางในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กโดยจะต้องนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเป็นการเร่งด่วน เพื่อพิจารณาในการสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นแนวทางหรือมาตรการในการลดมลพิษ
(3) ขั้นฟื้นฟูหลังจากสถานการณ์กลับสู่ปกติ กำหนดให้มีการประชุมเพื่อถอดบทเรียนหรือ After Action Review/AAR เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปีต่อไป
2) มาตรการระยะกลาง (พ.ศ. 2562 - 2564) เป็นการลดการระบายมลพิษและลดจำนวนแหล่งกำเนิด โดย
3) มาตรการระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2567) เป็นการลดการระบายมลพิษและลดจำนวนแหล่งกำเนิด โดย
5. กลไกการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ให้จังหวัดจัดตั้งศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ในการเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยสั่งการตามกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อจัดการปัญหาปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน ที่เกิดขึ้นจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และให้จังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับพื้นที่ ติดตามและรายงานผลการดำเนินงาน
16. เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ดังนี้
1. ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
1.1 ควรพิจารณาดำเนินการปฏิรูประบบการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยปรับปรุงระบบการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันและให้คำนึงถึงความจำเป็นตามสภาพพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ สภาพทางเศรษฐกิจ และที่ตั้งของสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้แต่ละสถานศึกษามีทรัพยากรที่เพียงพอ สามารถนำไปสู่การเพิ่มคุณภาพการศึกษา
1.2 ควรพิจารณากำหนดให้แต่ละสถานศึกษาดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ เพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนการบริหารจัดการและการดำเนินการจัดการเรียนการสอนของแต่ละสถานศึกษาให้มีการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปตามความต้องการและความจำเป็นอย่างแท้จริงของแต่ละสถานศึกษา
1.3 ควรพิจารณากำหนดมาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีเพื่อสนับสนุนการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาและเพื่อสร้างการจูงใจให้มีการระดมทรัพยากรในรูปของเงินบริจาค โดยมุ่งเน้นให้ผู้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มิใช่โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงหรือโรงเรียนที่มีความขาดแคลนหรือด้อยโอกาสห่างไกลความเจริญ หรือโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร หรือโรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ได้รับสิทธิทางด้านภาษีมากกว่าปกติที่กำหนด ณ ปัจจุบัน รวมทั้งกรณีที่บริษัทเอกชนบริจาคสิ่งของและวัสดุอุปกรณ์แทนเงินสด เห็นควรให้ได้รับสิทธินำมาลดหย่อนการเสียภาษีได้ด้วย โดยให้กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเพื่อเป็นมาตรการจูงใจในการบริจาคและกระจายทรัพยากรไปสู่สถานศึกษาต่าง ๆ อย่างทั่วถึงต่อไป
1.4 ควรพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการและสนับสนุนด้านงบประมาณภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
2. ข้อเสนอแนะต่อ สพฐ.
2.1 พิจารณายกเลิกหลักเกณฑ์การรับนักเรียนกรณีนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษทั้ง 7 ข้อ เนื่องจากเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบการสอบคัดเลือกการรับนักเรียนอย่างยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดปัญหาการฝากเด็กเข้าเรียนโดยเรียกรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ตอบแทน
2.2 เห็นควรให้กำหนดวิธีการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนการรับนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ นักเรียนทั่วไป และนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ตามประกาศของ สพฐ. เรื่อง นโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนสังกัด สพฐ. ให้มีความชัดเจน โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการให้เด็กได้ศึกษาต่อยังสถานศึกษาใกล้บ้านและเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในทุกสถานศึกษาสำหรับเป็นแนวทางนำไปปฏิบัติต่อไป
2.3 เห็นควรให้กำหนดคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การเป็นนักเรียนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนให้มีความชัดเจนและมีความเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดนิยามและคุณสมบัติของการเป็นนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ เช่น ระยะเวลาในการมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน และกรณีมีการย้ายเข้ามาพักอาศัยในทะเบียนบ้านซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน อีกทั้งเห็นควรให้กำหนดนิยามความหมายของนักเรียนในเขตพื้นที่บริการให้ครอบคลุมถึงนักเรียนที่เป็นบุตรข้าราชการครูและบุคลากรของโรงเรียนนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์การพิจารณาในลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ และเป็นการป้องกันหรือลดการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
ในการนี้ เพื่อให้ได้นักเรียนที่เป็นผู้มีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ในพื้นที่จริง มิใช่มีเพียงแต่ชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้าน แต่มิได้อาศัยอยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่ว และเพื่อให้กระบวนการการรับนักเรียนเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบและพิสูจน์สิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีมีการย้ายเข้ามาพักอาศัยในทะเบียนบ้านซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนแต่ละแห่ง
นอกจากนี้ เห็นควรให้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ปกครองนักเรียน และประชาชน รวมทั้งเจ้าพนักงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงความผิดและบทลงโทษกรณีการปลอมแปลงเอกสารและการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
2.4 เห็นควรให้กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในการกำหนดรูปแบบมาตรฐานกลางสำหรับการประกาศผลการคัดเลือกนักเรียน การประกาศผลการสอบ คะแนนการสอบ โดยเรียงรายชื่อตามลำดับคะแนนที่สอบแข่งขันได้ของนักเรียนที่เข้าสอบทุกคน เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่งภายใต้สังกัด สพฐ. ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและมีกระบวนการรับนักเรียนที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นธรรม และเสมอภาค และในกรณีที่สถานศึกษามีการรับนักเรียนเพิ่มเติมไม่ว่าในกรณีใด ให้ดำเนินการเรียกรับนักเรียนตามประกาศผลการสอบที่ได้เรียงรายชื่อตามลำดับคะแนนที่สอบแข่งขันได้ ทั้งนี้ ให้ทุกสถานศึกษาต้องประกาศผลการสอบโดยเรียงตามลำดับคะแนนสอบของผู้เข้าสอบแข่งขันทุกคน โดยเปิดเผยอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ
2.5 เห็นควรกำหนดให้ทุกสถานศึกษาต้องดำเนินการแจ้งค่าใช้จ่ายและรายละเอียดการเก็บเงินบำรุงการศึกษาไว้ในประกาศการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อของแต่ละสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ปกครองนักเรียนได้รับทราบไว้โดยชัดเจน โดยจะเป็นมาตรการป้องกันมิให้มีการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาเกินอัตราที่กำหนด และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ การเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาและการใช้จ่ายเงินบำรุงการศึกษาต้องเป็นไปตามระเบียบราชการโดยเคร่งครัด
2.6 ควรกำหนดนโยบายด้านการจัดการศึกษา รวมทั้งระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนให้มีความชัดเจน พร้อมทั้งซักซ้อมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
2.7 เห็นควรให้มีการประกาศห้ามมิให้สถานศึกษาดำเนินการเอื้อประโยชน์โดยให้สิทธิพิเศษหรือโควตาแก่สมาคมผู้ปกครองและครู สมาคมศิษย์เก่า หรือสมาคมที่เกี่ยวเนื่องกับด้านการศึกษาของแต่ละสถานศึกษา ในลักษณะที่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในการฝากเด็กเข้าเรียนหรือในลักษณะการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน
3. ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
3.1 ควรเร่งรัดการดำเนินการพัฒนามาตรฐานการศึกษาของแต่ละโรงเรียนให้เป็นมาตรฐานเดียวกันหรืออยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีการดำเนินการจัดสรรงบประมาณทางด้านการศึกษาโดยพิจารณาและคำนึงถึงการสนับสนุนงบประมาณเพื่อส่งเสริมและพัฒนาโรงเรียนในระดับรองและโรงเรียนในส่วนภูมิภาคให้สามารถเพิ่มศักยภาพและคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น และให้มีการสร้างแรงจูงใจหรือมาตรการสนับสนุนให้บุคลากรครู อาจารย์ที่มีศักยภาพสูงในสาขาวิชาการต่าง ๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนที่กำลังพัฒนา เพื่อให้มีการกระจายบุคลากรครูและอาจารย์ที่มีศักยภาพไปทำการสอนยังโรงเรียนในส่วนภูมิภาคให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ปกครองนักเรียนเกิดความรู้สึกไว้วางใจและเชื่อมั่นในคุณภาพการจัดการศึกษาในการที่จะส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อยังโรงเรียนในระดับรองลงมา และเป็นการแก้ไขปัญหาการแย่งกันเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการประเมินคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนด้วย
3.2 เห็นควรให้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ปกครองนักเรียนและประชาชน รวมทั้งเจ้าพนักงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงความผิดและบทลงโทษกรณีการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของเงินบริจาค ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวนั้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นเงินบริจาค แต่ถือว่าเป็นเรื่องของ “สินบน” ในฐานะผู้รับสินบนกับผู้ให้สินบน ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมาย ป.ป.ช.
3.3 เห็นควรให้มีการดำเนินการร่วมกันระหว่าง ศธ. กับ สพฐ. ในการพิจารณากำหนดแนวทางหรือมาตรการการตรวจสอบภายใน เพื่อให้กลไกการตรวจสอบการดำเนินการเกี่ยวกับการรับนักเรียนของโรงเรียนทั่วประเทศเป็นไปตามนโยบายและแนวปฏิบัติการรับนักเรียนโดยเคร่งครัด โดยให้มีการดำเนินการตรวจสอบขั้นตอนการรับนักเรียนทั้งก่อนการรับนักเรียน ช่วงที่มีการรับนักเรียน และภายหลังการรับนักเรียน และมอบหมายให้หน่วยงานด้านกำกับดูแลในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและในระดับจังหวัด ได้แก่ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด คณะกรรมการรับนักเรียนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และสร้างการทำงานเชิงรุกในระดับพื้นที่ รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการร่วมกันในระดับจังหวัดเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการรับนักเรียนโดยการกำหนดมาตรการป้องกัน ป้องปราม ที่จะไม่ให้เกิดปัญหาเด็กฝากและการรับเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับการรับนักเรียนเข้าเรียนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น มีการจัดทำแผนการดำเนินการร่วมกันในการสุ่มตรวจสอบการรับนักเรียนของสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษาที่มีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติและเป็นกลไกการควบคุมดูแลตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
3.4 เห็นควรให้มีการสุ่มตรวจสอบรายได้ของสถานศึกษาทั้งก่อนและหลังช่วงเวลาการรับนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบเงินบริจาคของสถานศึกษาที่มีอัตราการแข่งขันสูงเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างกลไกการตรวจสอบและป้องปรามปัญหาการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ในการเข้าเรียน รวมทั้งกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลรายรับ – รายจ่ายของแต่ละสถานศึกษา ข้อมูลการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา และจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ชื่อผู้บริจาค วัตถุประสงค์ของการบริจาค เผยแพร่บนเว็บไซต์ของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขณะ
3.5 เห็นควรให้มีการดำเนินการลงโทษอย่างเคร่งครัดในกรณีที่สถานศึกษาหรือผู้มีอำนาจของสถานศึกษา ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.6 เห็นควรให้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้ให้ข้อมูลการกระทำทุจริต ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานภายในหน่วยงาน เช่น ครู อาจารย์ หรือบุคลากรทางการศึกษา และบุคคลภายนอกผู้แจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษาเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้แจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูล รวมทั้งให้มีการสนับสนุนและส่งเสริมการตรวจสอบติดตามการดำเนินการรับนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนเพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้ร่วมสังเกตการณ์การรับนักเรียนในทุกขั้นตอน
4. ข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นมุ่งเสนอต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนของสถานศึกษาซึ่งอยู่ภายใต้สังกั สพฐ. ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนของสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรนำข้อเสนอแนะไปใช้กับสถานศึกษาภายใต้สังกัดหน่วยงานอื่นด้วย เช่น สถานศึกษาภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สถานศึกษาภายใต้สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
ต่างประเทศ
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายของคณะทำงานร่วมฯ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตามที่คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เสนอ
สาระสำคัญ
การสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพยุโรปในการต่อต้านการทำประมง IUU โดยจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยมีข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปฯ ดังกล่าว เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงาน โดยจะไม่มีการลงนามในเอกสารสัญญาบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือดังกล่าว มีประเด็น ดังนี้
1. ข้อกำหนดคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเวทีในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นการดำเนินความร่วมมือเพื่อต่อต้านการทำประมง IUU และติดตามประเด็นการเจรจาหารือด้าน IUU อย่างเป็นทางการ โดยคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปฯ จะจัดประชุมเจรจาหารือทุกปี ในเวทีระหว่างประเทศขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) และองค์กรบริหารจัดการประมงในระดับภูมิภาค (RFMOs) เป็นต้น หารือเกี่ยวกับข้อริเริ่มระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาคเพื่อต่อต้านกับการทำประมง IUU และจัดระเบียบ/ร่วมมือในข้อริเริ่มร่วมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการทำประมง IUUและสถานการณ์ที่น่ากังวลในประเทศที่สาม รวมทั้งประสานงานในโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยกำหนดขอบเขตงานหลักของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรป และ 2) งานความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาคและระดับโลก
2. การจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพื่อดำเนินการในเชิงเทคนิคและการปฏิบัติ โดยสหภาพยุโรปได้เสนอแนะให้เป็นคณะทำงานในระดับกรม โดยมีอธิบดีเป็นประธาน และเนื่องจากประเด็นการต่อต้านการทำประมง IUU เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมประมงเป็นหลัก จึงเห็นควรให้อธิบดีกรมประมงเป็นประธานคณะทำงาน และมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน ได้แก่ กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมศุลกากร กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมยุโรป กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีผู้อำนวยการกองประมงต่างประเทศ กรมประมงเป็นคณะทำงานและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่ กำหนดนโยบายในการเจรจาหารือความร่วมมือกับคณะทำงานของคณะกรรมาธิการยุโรป ในการต่อต้านการทำประมง IUU และประเด็นที่คณะทำงานทั้งสองฝ่ายตกลงหารือร่วมกัน กำกับดูแล ให้ความเห็นชอบ ประสานงาน และดำเนินการใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปฯ โดยสามารถแต่งตั้งคณะทำงานย่อย ที่ปรึกษา หรือผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อช่วยปฏิบัติงานได้ และปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย
18. เรื่อง แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 4 ( พ.ศ. 2562 – 2564)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 4 ( พ.ศ. 2562 – 2564)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนการหารือฯ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนการหารือฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
(จะมีการลงนามระหว่างการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างวันที่ 7 – 8 ก.พ. 62)
แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 4 ( พ.ศ. 2562 – 2564) เป็นการกำหนดแผนการหารือระหว่างกัน ณ กรุงเทพมหานครและกรุงมอสโก ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (1) ความร่วมมือระดับทวิภาคี (2) ความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคีในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกในด้านการเมือง ความมั่นคง และการรวมตัวทางเศรษฐกิจ (3) การปลดอาวุธและไม่แพร่ขยายอาวุธ เป็นต้น ซึ่งจะมีการหารือในสองระดับ ได้แก่ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและระดับกรมของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ แผนการหารือฯ ฉบับที่ 4 เป็นเอกสารที่แสดงเจตจำนงของ กต. ทั้งสองประเทศในการมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศไทยกับสหพันธรัฐรัสเซียให้มีพลวัตมากยิ่งขึ้น
แต่งตั้ง
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางสาวอมรรัตน์ กล่ำพลบ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2561
2. นางวรนุช ภู่อิ่ม ผู้อำนวยการสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2561
3. นางนงลักษณ์ ขวัญแก้ว รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2561
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
2. นายวรวุฒิ โปษกานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
21. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 32/2562 เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 32/2562 เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายอุตตม สาวนายน) ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2562 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี กรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการไม่มี ไม่อยู่ หรืออยู่แต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามแต่กรณี ดังนี้
กระทรวง |
ผู้รักษาราชการแทนที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย |
กระทรวงพาณิชย์ |
รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) |
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์) 2. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) |
กระทรวงอุตสาหกรรม |
รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) |
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
22. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 33/2562 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 33/2562 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 323/2560 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้ยกเลิกความในข้อ 7 ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 323/2560 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560และ ปรับปรุงการมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 323/2560 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2560 ในส่วนของ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ดังนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 3.2 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“3.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
3.2.1 กรมประชาสัมพันธ์
3.2.2 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3.2.3 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
3.2.4 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ”
ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในข้อ 3.3 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“3.3 มอบหมายให้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
- บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)”
ข้อ 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3.4
“3.4 มอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
3.4.1 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
3.4.2 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน)”
ข้อ 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3.5
“3.5 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 3.1 – ข้อ 3.4 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.5.1 - ข้อ 1.5.7”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี