ย้อนไปเมื่อต้นเดือนก.พ. 2561 หรือราว 1 ปีก่อน มีคดีหนึ่งที่ “สะเทือนใจคนไทยทั้งชาติ” นั่นคือกรณี “ผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับชาติแห่งหนึ่งกับคณะเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี”ซึ่งแม้เหยื่อคมกระสุนปืนจะไม่ใช่มนุษย์แต่เป็น “เสือดำ” แต่ก็ทำให้เกิดคำถาม “คนระดับนี้จำเป็นแค่ไหนหรือ? ถึงต้องไปล่าสัตว์ในป่า” และยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีลักษณะเดียวกันแต่ผู้ต้องหาเป็นนายพรานชาวบ้านธรรมดาๆ ก็ยิ่งรู้สึกคับข้องใจ“ทีพรานตัวเล็กๆ ปิดคดีไว พอผู้ต้องหาเป็นคนใหญ่คนโตทำไมช้าเหลือเกิน?” จน ณ วันนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด
ในช่วงนี้ที่ประเทศไทยกำลังนับถอยหลังสู่ “การเลือกตั้ง” ซึ่งจะเกิดขึ้นใน วันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค. 2562 พรรคการเมืองต่างๆ ก็เริ่มแสดงวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา“นโยบายคุ้มครองสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม”โดยกลุ่ม “T’Challa” ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ แยกปทุมวัน และมี 4 พรรคส่งตัวแทนเข้าร่วม ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเกียน พรรคกรีน และพรรคอนาคตใหม่
“พรรคเกียน” เนื่องจากหัวหน้าพรรค“บ.ก.ลายจุด” นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่ได้รับเชิญในตอนแรกติดภารกิจอื่น จึงส่งตัวแทนพรรค น.ส.ฎายิน เพชรรัตน์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงคนทำงานด้านสุนัขและแมวจรจัด จากการก่อตั้งกลุ่ม SOS Thailand กล่าวว่า “จริงอยู่ที่ในต่างประเทศมีการอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้ แต่อยู่บนหลักเกณฑ์การสำรวจประชากรสัตว์แล้วและมีขั้นตอนควบคุม และถึงกระนั้นก็ยังมีกระแสต่อต้านไม่ได้เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับอย่างเป็นสากล” ที่เห็นกันชัดเจนคือการล่าปลาวาฬของญี่ปุ่น ที่ชาวโลกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด
นอกจากนี้ “ปัญหาที่อยู่ระหว่างคนกับสัตว์” ทำนองเดิมพื้นที่เป็นป่ามาก่อน ต่อมาเมืองขยายตัวมากขึ้นก็เกิดการกระทบกระทั่งกัน “การพัฒนาที่ดีคนกับสัตว์ต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน” ส่วนเรื่องกฎหมายมองว่ายังไม่ต้องคิดถึงกฎหมายใหม่ๆ“แค่กฎหมายเดิมที่มีอยู่ การดำเนินการหลายครั้งก็ยังค้านสายตานักอนุรักษ์” สิ่งที่อยากเห็นคือ “ภาครัฐเปิดให้นักอนุรักษ์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทำงานมากขึ้น” เพราะนักอนุรักษ์มีความตั้งใจจริงและมีการพัฒนาศักยภาพในการทำงานอยู่ตลอดเวลา ขณะที่การปรับปรุงกฎหมายให้เข้ากับบริบทสังคมนั้นเป็นเรื่องในอนาคต
นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย มาในฐานะตัวแทน “พรรคประชาธิปัตย์” มองว่า จริงๆ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าที่มีอยู่นั้นโทษค่อนข้างสูงพอสมควร “ปัญหานั้นไม่ต่างจากกฎหมายอื่นๆ ในประเทศไทยคืออยู่ที่การบังคับใช้” แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ “การสร้างจิตสำนึก” ตราบใดที่คนยังคิดว่าตนเองเป็นผู้ล่าและสัตว์ป่าก็เป็นเครื่องมือของคนรวยบางกลุ่ม “ต้องยอมรับว่าคนรวยๆ พอมีประเด็นทางกฎหมายก็มักจะมีนักกฎหมายเก่งๆ คอยช่วยเหลือ”อย่างไรก็ตาม การสร้างจิตสำนึกเป็นเรื่องระยะยาว หากทำได้เชื่อว่าคงช่วยให้คนละเมิดกฎหมายน้อยลงขณะเดียวกันในด้าน “การบริหารจัดการ” ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ ให้นิยาม “หน่วยงานภาครัฐที่ทำงานด้านคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเหมือนลูกเมียน้อย”จะส่งใครมานั่งบริหารก็ได้ซึ่งอาจไม่ใช่คนมีความรู้ความสามารถจริง นั่นย่อมกระทบกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างาน สิ่งที่พรรคเห็นว่าควรทำคือ “อยากให้มีรายงานจำนวนสัตว์ป่าสงวน-สัตว์ป่าคุ้มครอง” เพื่อใช้สำหรับติดตามตรวจสอบ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และการสนับสนุนงบประมาณที่เพียงพอ
นายนิติพล ผิวเหมาะ ตัวแทนจาก“พรรคอนาคตใหม่” กล่าวว่า “ที่ผ่านมาสังคมไทยเมื่อจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเราแก้กันเพียงด้านเดียว” เช่น เราสร้างเขื่อนเพื่อหาแหล่งน้ำให้คน แต่ลืมนึกไปว่าการสร้างเขื่อนก็ลดพื้นที่ป่าอันเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ สัตว์ก็ต้องหาอาหารต่อไปเพื่อความอยู่รอด สุดท้ายก็เข้ามายังพื้นที่เกษตรของคน ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีโอกาสเดินทางไปดูงานในหลายประเทศ “การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนคือทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน” ไม่ว่าคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
สำหรับข้อเสนอนั้น นายนิติพล เห็นว่า “ต้องมีฐานข้อมูลก่อนและเป็นฐานข้อมูลกลางไม่ใช่ต่างคนต่างทำ”เช่น เสือในป่ามีกี่ตัว สุนัขจรจัดในเมืองมีกี่ตัว เป็นต้น “ฐานข้อมูลนี้จะนำไปสู่การวางแผนงบประมาณและลดการทุจริต” ควบคู่ไปกับ “การให้ความรู้กับเยาวชน” ให้เข้าใจว่าเหตุใดการจัดสวัสดิภาพสัตว์หรือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงมีความสำคัญ เมื่อเยาวชนเข้าใจก็จะนำไปบอกต่อกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวต่อไป รวมถึง “การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” นำเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งไปจัดพื้นที่ให้สัตว์ป่าปลอดภัย อีกส่วนเป็นรายได้ของชุมชน
ด้านอดีตเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร ดีกรีรางวัลลูกโลกสีเขียวและรางวัลข้าราชการตัวอย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายพงศา ชูแนม ที่วันนี้ลาออกมาทำงานการเมืองเต็มตัวในฐานะหัวหน้าของ “พรรคกรีน” ให้ความเห็นว่า “เราถูกทำให้เชื่อเรื่องการแบ่งขั้ว แม้กระทั่งคนกับป่ายังถูกแบ่งว่าอยู่ร่วมกันไม่ได้”แต่พรรคกรีนไม่เชื่อเช่นนั้น “คนอยู่กับป่าได้” และมีบทพิสูจน์มาแล้วในหลายประเทศว่าการกันคนออกจากป่าไม่สามารถรักษาพื้นที่ป่าได้จริง
นายพงศา ยกตัวอย่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในป่ามาหลายชั่วอายุคน อยู่ดีๆ พื้นที่ชุมชนของตนก็ถูกประกาศเป็นเขตอุทยาน ในทางตรงข้าม กรุงเทพฯ ที่มีคนอยู่กันมากๆ รัฐไทยมองว่าไม่สามารถสร้างพื้นที่สีเขียวได้ เพราะติดกรอบว่าต้องทำในพื้นที่ของรัฐเท่านั้น โดยกรณี “กรุงเทพฯ” เสนอเปิดช่องให้รัฐ “จ้างประชาชนปลูกต้นไม้ในที่ดินตนเอง” คิดเงินเป็นตารางเมตรต่อปี ไม่นานกรุงเทพฯ ก็จะเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว ส่วน “ชนบท” ขอให้ดูตัวอย่าง “ญี่ปุ่นมีป่ามีภูเขาแล้วก็มีโรงเลื่อยอยู่เต็มไปหมด แต่ป่าก็ยังเขียวขจี” นั่นคือข้อพิสูจน์ว่าคนอยู่กับป่าได้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี