12 ก.พ. 62 วานนี้( 11 ก.พ. 62 ) ที่โรงละครเคแบงค์สยามพระพิฆเนศ ย่านสยามสแควร์ กรุงเทพฯ มีการจัดสัมมนาเรื่อง “ผ่าแนวคิดพรรคการเมือง อนาคตสุขภาพคนไทย” โดยมีตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคอนาคตใหม่ (อ.น.ค.) โดยในช่วงหนึ่งผู้ดำเนินรายการได้ถามว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะรับมือวิกฤติฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 อย่างไร พบว่า ทั้ง 3 พรรคคือประชาธิปัตย์ เพื่อไทยและอนาคตใหม่ ต่างเห็นตรงกันว่า รัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สอบตกในเรื่องดังกล่าว
โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ได้โทษว่า รัฐบาลไหนเป็นคนสร้างฝุ่น แต่รู้สึกผิดหวังกับมาตรการรับมือของรัฐบาลปัจจุบัน ตั้งแต่ 1.หน้ากากอนามัย ก่อนหน้านี้เคยเสนอไปแล้วว่า ถ้ามีไม่เพียงพอควรอนุญาตให้นำเข้าได้แบบไม่เสียภาษี รวมถึงควบคุมไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบอย่างการขายในราคาแพงเกินไป 2.การบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องเข้มงวดกับแหล่งก่อมลพิษ เช่น รถควันดำ และ 3.การให้ข้อมูลตามความเป็นจริง พร้อมมีมาตรการรับมือว่า ถ้าเหตุการณ์ไปถึงขั้นไหนจะต้องทำอย่างไรบ้าง เช่น กับโรงงานอุตสาหกรรม กับการก่อสร้าง รวมถึงการจราจร แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นอะไรนอกจากการสั่งปิดโรงเรียน
ทั้งนี้ตนมีข้อเสนอว่า 1.ภาคขนส่ง กรณีรถยนต์ที่ใช้เครื่องดีเซลต้องติดอุปกรณ์ดักเขม่าไอเสีย หากเป็นรถยนต์ในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐสามารถทำได้ทันที ส่วนรถยนต์ในภาคเอกชนต้องหามาตรการจูงใจ หรือปรับปรุงระบบภาษีโดยเก็บเพิ่มสำหรับรถที่ปล่อยมลพิษมาก รวมถึงระยะยาวต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เริ่มเปลี่ยนก่อน ส่วนรถร่วมเอกชนให้ทยอยเปลี่ยนหลังหมดสัมปทาน ซึ่งหากต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นรัฐก็ต้องเข้าไปช่วยอุดหนุนเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
2.ภาคอุตสาหกรรม ต้องเร่งติดอุปกรณ์ตรวจมลพิษบริเวณที่มีโรงงาน โดยก่อนหน้านี้สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเคยทำมาแล้วที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเวลาเกิดเหตุสารพิษรั่วไหลแล้วตรวจไม่เจอ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือนโยบายภาคอุตสาหกรรมจะต้องเปลี่ยนจากการเน้นแต่ให้สิทธิประโยชน์เพื่อดึงนักลงทุนเพียงด้านเดียว ไปสู่การคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
“โรงงานไหนที่มีมลพิษไม่ควรจะมี BOI (สิทธิพิเศษที่ออกโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) อีกต่อไป อันนี้เป็นการปรับทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน ซึ่งตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลนี้ทำกับ EEC (โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) อยากดึงการลงทุนจนไปยกเว้นกฎผังเมืองบ้าง กฎสิ่งแวดล้อมบ้าง การพัฒนาด้วยวิธีคิดแบบนี้ต้องเลิก ประชาธิปัตย์ประกาศตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้วว่า ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผมไม่เข้าใจรัฐบาลนี้บอกว่า จะลด Carbon Emission (การปล่อยก๊าซเรือนกระจก) 25% กลับอนุมัติโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีก 2 โรง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนภาคเกษตรที่มีการเผาเพื่อการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวนั้น คงไม่สามารถไปบอกให้เกษตรกรหยุดเผาเพียงอย่างเดียวได้ หน่วยงานรัฐตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องทำงานเชิงรุกเข้าไปดูว่า จะช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างไรบ้างหากเลิกเผาแล้วต้องมีต้นทุนในการประกอบอาชีพสูงขึ้น สุดท้ายปัญหาหมอกควันจากการเผาเกี่ยวข้องกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เรื่องนี้ไทยในฐานะที่ปัจจุบันเป็นประธานอาเซียนต้องนำเข้าที่ประชุมระดับภูมิภาคด้วย
ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงการสวดมนต์ แต่ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งตนเสนอว่า สิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เช่น รับหลักเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 (EURO V) หรือระยะยาวคือการปรับเปลี่ยนรถยนต์ในระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทไปใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอยู่แล้วไม่ต้องไปสั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ วิกฤติฝุ่น PM 2.5 เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นเจ้าภาพหลัก ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยงานใดทำไปตามลำพัง
“จะไปบอกโรงงานให้หยุดผลิตชั่วคราวกลางวันหรือกลางคืน เป็นหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม จะไปบอกให้งานก่อสร้างหยุดทำ เขารับงานจากคมนาคมต้องไปคุยกับกระทรวงคมนาคม หรือห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าเมืองชั้นในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ก็ต้องคุยกับกระทรวงคมนาคม บอกอย่าเผาพื้นที่การเกษตรก็ต้องไปคุยกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถ้าจะให้รถเมล์ให้รถไฟฟ้าลดค่าบริการเพื่อให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลต้องคุยกับกรุงเทพมหานคร การจัดการที่เกี่ยวกับหน่วยงานเยอะขนาดนี้ทำไม่ได้ ถ้าผู้นำไม่นั่งหัวโต๊ะแล้วเรียกทุกคนมา” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุ
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานฝ่ายยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวว่า คนเป็นผู้นำต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน ไม่ใช่พอไปเดินตลาดแม่ค้าบอกว่า ขายของไม่ดีซึ่งคงเห็นแล้วว่า ผู้นำที่เป็นอยู่นั้นตอบอย่างไร โดยตนมองว่า รัฐบาลต้องกล้ายอมรับความจริง อย่างในอดีตที่ประเทศไทยเจอวิกฤติโรคซาร์ส (SARS) และโรคไข้หวัดนก หากรัฐบาลในเวลานั้นเอาแต่ปิดข่าวก็ไม่รู้ว่า ประชาชนจะต้องตายกันอีกเท่าไร แต่เพราะรัฐบาลบอกความจริงพร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนตั้งแต่เมื่อพบผู้ป่วยรายแรกๆ ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว
“ดิฉันเห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์เรื่องหน้ากากอนามัย โดยในมุมหนึ่งสำหรับผู้ยากไร้หรือกลุ่มเสี่ยง เช่น คนงานก่อสร้าง คนกวาดถนน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง อาจต้องแจกเพื่อให้เข้าถึง แต่อีกมุมหนึ่งกรณีบุคคลทั่วไปที่มีกำลังทรัพย์ระดับหนึ่ง ก็สามารถส่งเสริมได้ด้วยมาตรการลดภาษี เพื่อให้เข้าถึงหน้ากากอยามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่ปัจจุบันที่มีข่าวพบหน้ากากอนามัยปลอมผลิตจากบางประเทศเข้ามาขายในไทย นอกจากนี้ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งแหล่งกำเนิดมลภาวะต่างๆ ล้วนมีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ได้ข่าวจากสื่อบางกระแส ข้าราชการชั้นผู้น้อยโอดครวญว่า ไม่มีเครื่องวัดควันดำ จริงหรือเปล่า วันนี้ประชาชนทราบหรือไม่ว่า มีหรือไม่มี มันต้องมีเครื่องวัดรถควันดำและห้ามวิ่ง เมื่อไม่กี่วันนี้เองที่หน้าบ้านแถวรามอินทรา มีการสร้างรถไฟฟ้า มีรถควันดำมา เพียงแต่ท่อไอเสียเขาอยู่ด้านข้าง ไม่ได้อยู่ด้านหลัง มันคือ การปล่อยปละละเลยไม่บังคับใช้กฎหมาย
ด้านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรัฐบาล คสช. ชี้แจงว่า สิ่งที่ตัวแทนทั้ง 3 พรรคกล่าวมานั้นตนขอน้อมรับไว้ และเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. มีความมุ่งมั่นและทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงขออธิบายสิ่งที่ตัวแทนพรรคการเมืองทั้ง 3 อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน
อาทิ โครงการ EEC ที่เป็นห่วงกันเรื่องมลพิษ ความจริงแล้วใน EEC มีอุตสาหกรรมที่ส่งเสริม 10 อย่าง และ 1 ในนั้นคือ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หรือก็คือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมในตัวเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน เรื่องนี้ต้องพูดกันด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และในความเป็นจริงคือโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นโรงงานสะอาดก็ยังมีอยู่
นายสุวิทย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีคนบอกว่า ทำไมไม่ปิดโรงงานแต่ไปปิดโรงเรียนก่อน เรื่องนี้ก็เพราะเห็นความสำคัญของมนุษย์มาก่อน จะไปบอกว่า เห็นความสำคัญทางเศรษฐกิจ ไปปิดโรงเรียนเด็กๆ ไม่ต้องเรียนหนังสือ มันมองได้หลายมุม ก็ในเมื่ออะไรทำได้ก่อน เยาวชนมีความสำคัญเราก็ปิดตรงนี้ก่อน แต่มาตรการบังคับใช้กฎหมายก็จะเห็นว่า มีตามออกมา ตนเข้าใจว่า ทุกคนก็มีความอึดอัด แต่ก็เข้าใจว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำพอสมควร และสะท้อนว่าระบบราชการต้องมีการปฏิรูปอย่างแท้จริง
“ต่อให้ใครมาเป็นรัฐบาล มาลองขับเคลื่อนดูมันก็ต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้ ผมน้อมรับบางอย่างที่อาจจะไม่ทันใจ คนให้ความเห็นก็พูดได้ทั้งนั้น แต่คนลงไปปฏิบัติก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ก็ถือว่าได้รับความคิดที่หลากหลาย และเชื่อว่า อันนี้ก็เป็นบทเรียนในอนาคต ซึ่งจะเจอกับสิ่งเหล่านี้อีก ก็จะนำไปสู่มาตรการที่มันตอบโจทย์ทันทีในระยะสั้น หรือมาตรการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนต่อไป” นายสุวิทย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี