12 ก.พ.62 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนบ้านฮวก)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนบ้านฮวก) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. ได้มีกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับ โดยในลำดับที่ 7 แห่งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ได้กำหนดให้จังหวัดเชียงรายมีด่านศุลกากร รวม 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากร เชียงของ ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรแม่สาย และในแต่ละด่านศุลกากรดังกล่าวจะกำหนดให้มีด่านพรมแดนด้วย การกำหนดด่านพรมแดนที่เสนอมาในครั้งนี้เป็นการกำหนดด่านพรมแดนของด่านศุลกากรเชียงของ โดยปัจจุบันด่านศุลกากรเชียงของ ตั้งอยู่เลขที่ 78 หมู่ที่ 9 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีด่านพรมแดน รวม 4 ด่าน ได้แก่
1.1 ด่านพรมแดนเชียงของ แห่งที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือบั๊ค หมู่ที่ 1 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
1.2 ด่านพรมแดนเชียงของ แห่งที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือเชียงของ หมู่ที่ 1 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
1.3 ด่านพรมแดนเชียงของ แห่งที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือผาถ่าน หมู่ที่ 2 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และ
1.4 ด่านพรมแดนเชียงของ แห่งที่ 4 ตั้งอยู่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – ลาว 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) หมู่ที่ 9 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
2. โดยที่การกำหนดด่านพรมแดนต้องกำหนดโดยกฎกระทรวง แต่กฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ. 2560 ยังมิได้มีการกำหนดให้จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็น ด่านพรมแดนตามกฎกระทรวงฯ แต่อย่างใด ประกอบกับได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 28 กันยายน 2561 เรื่อง การเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ให้เปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอ ภูซาง จังหวัดพะเยา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านปางมอน เมืองคอบ แขวงไซยะบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการเปิดจุดผ่านแดนดังกล่าวเพื่อให้บุคคลและพาหนะที่เกี่ยวข้องผ่านเข้า – ออก เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และอำนวยความสะดวกในการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งสนับสนุนการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน การขนส่ง การแลกเปลี่ยนด้านศิลปวัฒนธรรมและการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านพรมแดนบ้านฮวก)
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดด่านพรมแดนบ้านฮวก ตั้งอยู่บริเวณบ้านฮวก หมู่ที่ 12 ตำบลภูซาง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา
2. กำหนดเขตแดนทางบก ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการ ต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาทางท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 (6) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522
3.เรื่อง การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และส่งร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาลงนาม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการลงนามเมื่อร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 (การจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่มภารกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
กลุ่มภารกิจด้านการขนส่งปัจจุบัน |
กลุ่มภารกิจด้านการขนส่งที่ขอปรับปรุง |
(ข) กลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง 1. กรมการขนส่งทางบก 2. กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี 3. กรมการขนส่งทางอากาศ |
(ข) กลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง กรมการขนส่งทางบก (คงเดิม) กรมเจ้าท่า (เปลี่ยนชื่อ) กรมท่าอากาศยาน (เปลี่ยนชื่อ) กรมการขนส่งทางราง (ตั้งใหม่) |
2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ....
กรมจัดตั้งใหม่ |
การแบ่งส่วนราชการตามร่างกฎกระทรวงฯ |
กรมการขนส่งทางราง |
สำนักงานเลขานุการกรม กองกฎหมาย กองกำกับกิจการขนส่งทางราง กองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุงทาง กองยุทธศาสตร์และแผนงาน |
3. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน |
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง |
(1) สำนักบริหารกลาง (2) กองจัดระบบการจราจรทางบก (3) กองพัฒนาระบบการขนส่งและจราจร (4) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศการขนส่งและจราจร (5) สำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (6) สำนักงานโครงการพัฒนาระบบราง (7) สำนักแผนความปลอดภัย (8) สำนักแผนงาน (9) สำนักส่งเสริมระบบการขนส่งและจราจรในภูมิภาค |
สำนักบริหารกลาง (คงเดิม) กองจัดระบบการจราจรทางบก (คงเดิม) กองพัฒนาระบบการขนส่งและจราจร (คงเดิม) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศการขนส่งและจราจร (คงเดิม) สำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (คงเดิม)
สำนักแผนความปลอดภัย (คงเดิม) สำนักแผนงาน (คงเดิม) สำนักส่งเสริมระบบการขนส่งและจราจรในภูมิภาค (คงเดิม) |
เศรษฐกิจ-สังคม
4.เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้ ศย. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 แผนงานบุคลากรภาครัฐ ค่าใช้จ่ายบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้วมาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบแล้วพบว่า ศย. ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 แผนงานบุคลากรภาครัฐ ค่าใช้จ่ายบุคลากร รายการเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม จำนวน 7,161,846,300 บาท โดยประมาณการค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รวมเงินเลื่อนขั้นของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมระหว่างปีงบประมาณแล้ว เป็นเงินจำนวน 6,528,160,960 บาท จึงคาดว่าจะมีงบประมาณคงเหลือจำนวน 633,685,340 บาท ซึ่งเพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น
5.เรื่อง ขออนุมัติโครงการและงบประมาณดำเนินงานโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ภายในวงเงินทั้งสิ้น 275,147,520 บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ รวมค่าขนส่ง จำนวน 10,000 ตัน วงเงิน 270,000,000 บาท โดยเบิกจ่ายจากทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วงเงิน 5,147,520 บาท โดยกรมการข้าวดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
2. ให้สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให่แก่กรมการข้าว จำนวน 270,000,000 บาท ทดแทนทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ถูกใช้ไป
3. ส่วนการขอยกเว้นโดยไม่นำเอาต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับสนับสนุนเกษตรกรในโครงการฯ มารวมคำนวณในตัวชี้วัดของทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ประจำปีบัญชี 2562 ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ในปี 2561/62 เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ) ผลผลิตข้าวเสียหาย เนื่องจากเกิดสภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวหอมมะลิไว้ทำเมล็ดพันธุ์ข้าว สำหรับการเพาะปลูกในปีการผลิตต่อไป รวมทั้งเกษตรกรขาดแคลนเงินทุนในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิไปเพาะปลูก ทั้งนี้ หากปล่อยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวขาดแคลนเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไปปลูกในฤดูนาปี ปี 2562/63 จะทำให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิมีคุณภาพต่ำลง ส่งผลกระทบต่อการค้าและการตลาดข้าวหอมมะลิของประเทศไทย
2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรที่มีแปลงปลูกข้าวเสียหายสิ้นเชิงอยู่ในพื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่ 2,000,000 ไร่ จำนวน 23 จังหวัด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา) ไร่ละ 5 กิโลกรัม ตามพื้นที่ปลูกข้าวจริงที่ประสบฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง แต่ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 50 กิโลกรัม) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในการประชุมครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการด้วยแล้ว
6.เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงยุติธรรมภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ซึ่งดำเนินการโดย กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) จำนวน 87 โครงการ รวม 3,190 หน่วย ภายในวงเงิน 3,022.438 ล้านบาท ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยให้ ยธ. คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด เป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ พร้อมจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวในแต่ละระดับ ให้สอดคล้องกับร่างบัญชี ราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2559 โดยเคร่งครัด รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ดำเนินการโดยกระทรวงยุติธรรม (5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกรมบังคับคดี) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย 2 – 3 ชั้น ตามแบบมาตรฐานบ้านพักข้าราชการของกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องไปรับราชการตามหน่วยงานในพื้นที่ต่าง ๆ มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานใกล้สถานที่ทำงานโดยดำเนินการในพื้นที่ที่มีความต้องการบ้านพักข้าราชการของหน่วยงานดังกล่าวทั่วประเทศซึ่งอยู่บนที่ดินราชพัสดุอยู่ในความดูแลของกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งหมด 87 โครงการ รวม 3,190 หน่วย ภายในวงเงินงบประมาณ 3,022.438 ล้านบาท ดังนี้
หน่วยงาน |
หน่วย |
จำนวนอาคาร |
งบประมาณ (ล้านบาท) |
1. กรมราชทัณฑ์ (54 โครงการ) |
2,132 |
109 |
2,065.108 |
2. กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน (16 โครงการ) |
672 |
27 |
582.330 |
3. กรมคุมประพฤติ (5 โครงการ) |
182 |
14 |
183.520 |
4.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (1 โครงการ) |
24 |
1 |
20.590 |
5. กรมบังคับคดี (11 โครงการ) |
180 |
11 |
170.890 |
รวม (87 โครงการ) |
3,190 |
162 |
3,022.438 |
7.เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น 5,970 อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ดังกล่าว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนดต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. โดยที่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2562 ได้มีการเปลี่ยนชื่อส่วนราชการระดับกองบังคับการ จากเดิม “กองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ” เป็น “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904” เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายโดยตรง ดังนั้น ในขั้นตอนการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ เพื่อรองรับภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย และการจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับอัตรากำลังดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามนัยข้อกฎหมายดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) จำนวน 5,970 อัตรา ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 โดยสรุปได้ ดังนี้
การขอรับจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ (จำแนกตามภารกิจ) |
อัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ |
|
ข้อเสนอของ ตช. |
มติ คปร. |
|
1. เพื่อปฏิบัติภารกิจประจำในสถานีตำรวจทั่วประเทศ เนื่องจากในปัจจุบัน ตช. ประสบภาวะขาดแคลนอัตรากำลังข้าราชการตำรวจชั้นประทวน |
9,000 อัตรา
|
คปร. มีมติ (19 ตุลาคม 2561) ให้ ตช. ทบทวนบทบาทภารกิจตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2557) |
2. เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจาก 2.1 ตำรวจมั่นคงหมวดเฉพาะกิจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สังกัดตำรวจภูธรภาค 9 ต้องเข้าไปดำเนินภารกิจในพื้นที่ที่ฝ่ายทหารได้ถอนกำลังตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.2 ตำรวจตระเวนชายแดน กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เพื่อให้มีอัตรากำลังเพียงพอในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนปฏิบัติภารกิจ |
4,700 อัตรา |
4,700 อัตรา (ตามมติ คปร. ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561) |
3. เพื่อรองรับภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย ตามที่ได้มีการจัดตั้งกองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ |
1,615 อัตรา |
1,270 อัตรา [ตามมติ คปร. ครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561 เนื่องจาก ตช. ได้เกลี่ยและตัดโอนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย (เดิม) มาแล้ว จำนวน 345 อัตรา] |
รวมทั้งสิ้น |
15,315 อัตรา |
5,970 อัตรา |
8.เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงาน และการสนับสนุนงบประมาณให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อใช้สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานตั้งใหม่ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงแรงงาน ดังนี้ 1.1 กระทรวงพลังงาน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จำนวน 23 อัตรา 1.2 กระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน จำนวน 10 อัตรา สำนักงานประกันสังคม จำนวน 3 อัตรา รวมจำนวนทั้งสิ้น 36 อัตรา
โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้นตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 วันที่ 19 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 5/2561 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของ สำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
2. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ครั้งที่ 5/2561 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เกี่ยวกับอัตราตั้งใหม่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) รายงานว่า
1. คปร. ในการประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ได้พิจารณาและมีมติอนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับ 3 หน่วยงาน จำนวนรวมทั้งสิ้น 36 อัตรา เพื่อรองรับภารกิจของส่วนราชการต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
หน่วย : อัตรา
ส่วนราชการ |
คำขอ |
มติ คปร. |
เหตุผลความจำเป็น |
|||||
1.1 กระทรวงพลังงาน |
||||||||
- กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ |
29 |
23 [ข้าราชการตำแหน่ง 1) วิศวกรปิโตรเลียม 2) นักธรณีวิทยา 3) นักวิทยาศาสตร์ 4) นักวิชาการเงินและบัญชี 5) นักวิเคราะห์นโยบายและแผน และ 6) นิติกร] |
เพื่อรองรับภารกิจการบริหารจัดการปิโตรเลียมในระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract : PSC) และระบบสัญญาจ้างบริการ (Service Contract : SC) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
|||||
1.2 กระทรวงแรงงาน |
||||||||
- สำนักงานปลัดกระทรวง |
152 |
- |
เพื่อรองรับการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการแรงงานนอกระบบ แรงงานสูงอายุ แรงงานคนพิการ และแผนปฏิบัติการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ แรงงานสูงอายุ การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เป็นต้น |
|||||
- กรมการจัดหางาน |
590 |
10 [ข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการแรงงาน] |
เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวบริเวณชายแดนในการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวในศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จด้านแรงงานต่างด้าว จำนวน 10 ศูนย์ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว รวมถึงสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพัฒนาเมืองชายแดนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||
- สำนักงานประกันสังคม |
202 |
3 [ข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการตรวจสอบภายใน] |
เพื่อปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการตรวจสอบการบริหารจัดการและตรวจสอบการบริหารเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนเพื่อเสริมสร้างกลไกการตรวจสอบการบริหารเงินกองทุนที่มีมูลค่า และผลกระทบสูงให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการ |
|||||
รวมทั้งสิ้น |
973 |
36 |
|
|||||
โดยกำหนดเงื่อนไขการใช้ตำแหน่งตามข้อ 1.1 และ 1.2 ไม่ให้ส่วนราชการนำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรมายุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น สำหรับการดำเนินการสรรหา บรรจุ และแต่งตั้งบุคคล นั้น กระทรวงแรงงานและกระทรวงพลังงาน จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี
2. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) เสนอขอรับการจัดสรรอัตราพนักงานตั้งใหม่เพื่อรองรับภารกิจงานต่าง ๆ จำนวน 31 อัตรา แต่โดยที่อำนาจหน้าที่ของ คปร. เกี่ยวกับการจัดสรรอัตรากำลังใหม่มิได้ครอบคลุมถึงหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คปร. ในการประชุมครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 9,195,600 บาทต่อปี เพื่อใช้สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานตั้งใหม่ของ สผผ. จำนวน 28 อัตรา สรุปได้ดังนี้
ส่วนราชการ |
คำขอ |
มติ คปร. |
เหตุผลความจำเป็น |
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) |
31 |
28 [พนักงานตำแหน่ง 1) นิติกร 2) เจ้าหน้าที่สอบสวน และ 3) นักวิชาการคอมพิวเตอร์] |
- โดยที่ สผผ. รับเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 5,454 เรื่อง ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่โดยที่อัตรากำลังที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจหลัก จึงทำให้ปริมาณงานค้างที่อยู่ระหว่างดำเนินการในแต่ละปีมีจำนวนมาก - เพื่อรองรับภารกิจของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่เพิ่มขึ้นตามนัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 |
และในส่วนการบริหารทรัพยากรบุคคลของอัตราพนักงานตั้งใหม่ให้เป็นไปตามระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ การดำเนินการสรรหา บรรจุและแต่งตั้งบุคคล นั้น สผผ. จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี
9.เรื่อง แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ.2561 - 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ.2561 - 2564 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (คณะกรรมการ นปถ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2561 – 2564 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ |
เป้าประสงค์ |
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การปฏิรูประบบการจัดการด้านความปลอดภัยทางถนน |
เช่น 1. การเพิ่มขีดความสามารถองค์กรการบริหารความปลอดภัยทางถนน 2. เพิ่มประสิทธิภาพระบบฐานข้อมูล 3. การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย 4. เพิ่มสัดส่วนงบประมาณ ทรัพยากร และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ |
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน |
เช่น 1. สร้างพฤติกรรมด้านความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเยาวชน/ในสังคม 2. ส่งเสริมให้เกิดผู้ขับขี่คุณภาพ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ |
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ประเทศไทยขนส่งทางถนนปลอดภัย 4.0 |
เช่น 1. ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของยานพาหนะ 2. ยกระดับถนนที่ปลอดภัย 3. ส่งเสริมการเดินทางเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม |
ยุทธศาสตร์ที่ 4 ประชารัฐเพื่อถนนปลอดภัย |
ส่งเสริมความมีส่วนร่วมเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนจากทุกภาคส่วน |
และได้กำหนดค่าเป้าหมายตัวชี้วัด ปี พ.ศ. 2560 – 2564 จากอัตราการเสียชีวิตต่อประชากรหนึ่งแสนคน เป็น 30, 27, 24, 21, 18 คน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในระยะเวลา 20 ปี (ปี 2561 – 2580) ความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาประเทศในระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในระยะเวลา 20 ปี เพื่อสร้างให้เกิดความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน ซึ่งคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแผนแม่บทฯ พ.ศ. 2560 – 2563 โดยให้ปรับเป็นแผนแม่บทฯ พ.ศ. 2561 – 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
10.เรื่อง การกำหนดวิธีการปฏิบัติราชการและการบริหารงาน การบริหารบุคคล การจัดโครงสร้างการแบ่งส่วนงานหน้าที่และอำนาจของส่วนงาน อัตรากำลัง และกรอบอัตรากำลังข้าราชการในระยะเริ่มแรกของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดวิธีการปฏิบัติราชการ การบริหารงาน การบริหารบุคคล การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงานหน้าที่และอำนาจของส่วนงาน และอัตรากำลังของสำนักงาน ป.ย.ป. ตามร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 ฉบับ เพื่อนายกรัฐมนตรีจะได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดต่อไป
2. เห็นชอบการกำหนดกรอบอัตรากำลังข้าราชการในระยะเริ่มแรกของสำนักงาน ป.ย.ป. จำนวน 55 อัตรา โดยมีผู้อำนวยการสำนักงาน เป็นตำแหน่งนักบริหาร ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 1 ตำแหน่ง และรองผู้อำนวยการสำนักงาน เป็นตำแหน่งนักบริหาร ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ตำแหน่ง และตำแหน่งประเภทและระดับอื่นลดหลั่นลงไป จำนวน 52 ตำแหน่ง
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ป.ย.ป. รายงานว่า สำนักงาน ป.ย.ป. ได้หารือร่วมกับผู้แทนสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อจัดทำร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 คำสั่ง ได้แก่ (1) วิธีการปฏิบัติราชการและการบริหารงานของสำนักงาน ป.ย.ป. (2) การบริหารบุคคลของสำนักงาน ป.ย.ป. และ (3) การจัดโครงสร้างการแบ่งส่วนงานหน้าที่และอำนาจของส่วนงาน และอัตรากำลังของสำนักงาน ป.ย.ป. ซึ่งผู้แทนหน่วยงานดังกล่าวได้เห็นชอบกับสาระของร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ฉบับแล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. กลไกการบริหารงาน กำหนดให้ (1) ผู้อำนวยการสำนักงานมีหน้าที่ควบคุมดูแลราชการโดยทั่วไปของสำนักงาน ป.ย.ป. และรับผิดชอบขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และ (2) รองผู้อำนวยการสำนักงานเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานมอบหมาย โดยให้การปฏิบัติราชการแทน การรักษาราชการแทน และการมอบอำนาจในกิจการของสำนักงาน ป.ย.ป. เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน
2. การบริหารบุคคล
2.1 ในระยะเริ่มแรก
(1) การบรรจุ การย้าย การโอน การเลื่อนระดับ เพื่อแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในระยะเริ่มแรก ไม่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้สำหรับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อให้การบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนในสำนักงาน ป.ย.ป. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพิจารณาแต่งตั้งผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งที่จะบรรจุและแต่งตั้งโดยคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความรับผิดชอบ ความประพฤติ และคุณลักษณะ ของข้าราชการให้เหมาะสมกับตำแหน่ง
2.2 ในระยะต่อไป (เมื่อพ้น 90 วันนับตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้) ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่ง การบรรจุ การย้าย การโอน การเลื่อนระดับ การประเมินผลการปฏิบัติราชการ การเลื่อนเงินเดือน การให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ วินัยและการรักษาวินัย และการออกจากราชการของข้าราชการในสำนักงาน ป.ย.ป. เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบ
2.3 ผู้อำนวยการสำนักงานโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอาจบรรจุบุคคลซึ่งมีความรู้ ความสามารถ หรือมีความชำนาญสูง เข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดในสำนักงาน ป.ย.ป. ได้ตามความเหมาะสม
2.4 ผู้อำนวยการสำนักงานอาจจ้างบุคคลภายนอกซึ่งมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และมีความชำนาญสูงเพื่อปฏิบัติงานให้แก่สำนักงานโดยทำสัญญาจ้างเป็นคราว ๆ คราวละไม่เกิน 1 ปีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการสำนักงานกำหนดโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี
2.5 การบริหารพนักงานราชการ ให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยพนักงานราชการ ตามกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการที่ผู้อำนวยการสำนักงานกำหนดโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี
3. การแบ่งส่วนงานหน้าที่และอำนาจของส่วนงาน กำหนดให้สำนักงาน ป.ย.ป. แบ่งออกเป็น 5 ส่วนงาน (ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการที่อยู่ภายใต้กอง 1-3 ได้มีการแต่งตั้งและปฏิบัติงานแล้ว) ได้แก่
กอง |
หน้าที่รับผิดชอบ |
กอง 1 |
รับผิดชอบงานวิชาการ งานธุรการ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของคณะกรรมการที่อยู่ในความรับผิดชอบ ดังนี้ 1. คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบ ป.ย.ป. 2. คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ 3. คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 4. คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 5. คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง 6. คณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ 7. คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 8. คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน 9. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการข้างต้น |
กอง 2 |
รับผิดชอบงานวิชาการ งานธุรการ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของคณะกรรมการที่อยู่ในความรับผิดชอบ ดังนี้ 1. คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล 2. คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน รวม 5 คณะ 3. คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล 4. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการข้างต้น |
กอง 3 |
รับผิดชอบงานวิชาการ งานธุรการ และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของคณะกรรมการที่อยู่ในความรับผิดชอบ ดังนี้ 1. คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน 2. คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 3. คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด 4. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการข้างต้น |
กองนวัตกรรม |
รับผิดชอบในการจัดให้มีและพัฒนานวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ย.ป. โดยใช้ Digital Technology ในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอน จัดให้มีและพัฒนาการบูรณาการข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนการเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ใช้ Artificial Intelligence (AI) ในการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล และปฏิบัติงานอื่นที่ผู้อำนวยการสำนักงานมอบหมาย |
กองกลาง |
รับผิดชอบด้านการบริหารงานบุคคล งบประมาณ การเงิน การคลัง การพัสดุ และการบริหารจัดการทรัพย์สินของสำนักงาน ป.ย.ป. งานอื่นที่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของกองอื่น ๆ ข้างต้น |
4. อัตรากำลัง กำหนดให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดสรรอัตรากำลังตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้แก่สำนักงาน ป.ย.ป. ซึ่งในครั้งนี้สำนักงาน ป.ย.ป. เสนอขอรับการจัดสรรอัตรากำลังข้าราชการ ในระยะเริ่มแรก จำนวน 55 อัตรา ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ด้วยแล้ว ประกอบด้วย
4.1 ผู้อำนวยการสำนักงาน เป็นตำแหน่งนักบริหาร ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 1 ตำแหน่ง
4.2 รองผู้อำนวยการสำนักงาน เป็นตำแหน่งนักบริหาร ประเภทบริหารระดับสูง
จำนวน 2 ตำแหน่ง
4.3 ตำแหน่งประเภทและระดับอื่นลดหลั่นลงไป จำนวน 52 ตำแหน่ง
11.เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2562 ดังนี้
1. กำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ
2. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
ทั้งนี้ การกำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดราชการประจำปี 2562 เพิ่มเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว จะทำให้ปี 2562 มีวันหยุดเพิ่มอีก 1 วัน และเมื่อนับรวมกับวันที่ 6 พฤษภาคม 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (29 มกราคม 2562) กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2562 แล้ว จะทำให้ปี 2562 มีวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษรวมทั้งสิ้น 2 วัน โดยเป็นวันหยุดเพิ่มเติมนอกเหนือจากวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ (วันเสาร์และวันอาทิตย์) และวันหยุดราชการประจำปีที่กำหนดไว้ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ
ต่างประเทศ
12.เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์
2. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พม. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังตามมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2558)
สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มุ่งป้องกันและปราบปรามบุคคลและกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์โดยเชื่อมั่นว่า การปราบปรามการค้ามนุษย์และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์โดยการร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และจะเพิ่มพูนความร่วมมือระดับทวิภาคีอันเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทั้งสองประเทศในการต่อต้านการค้ามนุษย์และกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างคู่ภาคี โดยมีมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และมาตรการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดเกี่ยวกับการตรวจหนังสือเดินทางและบัตรผ่านแดนที่จุดตรวจชายแดนระหว่างสองประเทศ การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เช่น ให้คู่ภาคีพัฒนาหลักเกณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการคัดแยกผู้เสียหาย และแนวปฏิบัติทั่วไปว่าด้วยการคัดแยกและส่งตัวผู้เสียหายของกระบวนการความร่วมมือระดับรัฐมนตรีของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ และกฎหมายภายในของภาคีแต่ละฝ่าย ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ เช่น ให้หน่วยงานของคู่ภาคีที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เช่น การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์ข้ามชาติ การส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามกฎหมายภายในของภาคีแต่ละฝ่าย การส่งกลับและการกลับคืนสู่สังคม โดยให้คู่ภาคีนำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานทวิภาคีว่าด้วยการบริหารจัดการคดีและการส่งกลับและการกลับคืนสู่สังคมของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มาใช้ปฏิบัติ ซึ่งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เช่น เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและทันกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และเพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันกลุ่มเสี่ยงมิให้ถูกแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เคยจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ในลักษณะเดียวกันนี้กับประเทศอื่น ๆ แล้ว เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น
13.เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women - CEDAW)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women - CEDAW) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ตามอนุสัญญา CEDAW ข้อบทที่ 20 วรรค 1 กำหนดให้โดยปกติคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ จะประชุมกันเป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ทุกปี แต่ในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ จำเป็นต้องประชุม 3 สมัยต่อปีรวมเป็นระยะเวลา 9 – 10 สัปดาห์ เพื่อพิจารณารายงานจากรัฐภาคีของอนุสัญญาฯ ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ สามารถขยายระยะเวลาการประชุมมากกว่า 2 สัปดาห์ต่อปี โดยกำหนดให้การแก้ไขข้อบทดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อรัฐภาคีจำนวน 2 ใน 3 ตอบรับการแก้ไขอนุสัญญาฯ การตอบรับการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ เนื่องจากการส่งเสริมสิทธิสตรีเป็นประเด็นสำคัญที่ไทยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสิทธิภาพการดำเนินการของคณะกรรมการฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรีและป้องกันการเลือกปฏิบัติ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 มีมติเห็นชอบให้ตอบรับการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ด้วยแล้ว
14.เรื่อง การให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles: ASEAN CBTP)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการให้สัตยาบันกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยยานพาหนะทางถนน (ASEAN Framework Agreement on the Facilitation of Cross Border Transport of Passengers by Road Vehicles: ASEAN CBTP) ของประเทศไทย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำสัตยาบันสารเพื่อการดังกล่าวและดำเนินการยื่นต่อเลขาธิการอาเซียนต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของกรอบความตกลง ASEAN CBTP เป็นการแลกเปลี่ยนสิทธิในการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนโดยใช้ยานพาหนะทางถนนเส้นทางที่กำหนด ภายใต้โควตาการออกใบอนุญาตเดินรถโดยสารไม่เกิน 500 คัน/ประเทศ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาแล้วสามารถปฏิบัติตามกรอบความตกลง ASEAN CBTP ได้โดยไม่ต้องออกหรือปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งการดำเนินการตามกรอบความตกลง ASEAN CBTP สอดคล้องกับการดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองของไทย ซึ่งการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนตามกรอบตามความตกลงนี้ก็ยังคงต้องยื่นเอกสารตามแบบที่กำหนดในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เห็นควรให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบกระบวนการคัดกรองคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการใช้การดำเนินการตามกรอบความตกลงดังกล่าวเป็นช่องทางในการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดปัญหาสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรมและปัญหาการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ในอนาคตต่อไป
15.เรื่อง การเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ 3
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ 3 การประเมินมลสาร Short – Lived Climate Pollutants (SLCPs1) (คาร์บอนดำและโอโซน) ในระดับภูมิภาค โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงาน (National Focal Point) CCAC ของประเทศไทย และดำเนินการตามขั้นตอนในการเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC รวมถึงกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและกรอบเวลาร่วมกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
UNEP ได้ริเริ่มความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 โดยกรอบความร่วมมือดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากมลสาร SLCPs (2) การติดตามและพัฒนาระบบที่มีอยู่เพื่อลดมลสาร SLCPs และ (3) การปรับปรุงฐานข้อมูลและส่งเสริมแนวปฏิบัติหรือเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหามลสาร SLCPs โดยความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs มีการดำเนินงาน 11 ข้อริเริ่ม (Initiatives) แบ่งเป็น การดำเนินงาน 7 สาขาหลักและการดำเนินงานในสาขาที่เชื่อมโยง (Cross-Cutting ) 4 ด้าน ดังนี้
การดำเนินงานหลัก 7 สาขาหลัก |
การดำเนินงานในสาขาที่เชื่อมโยง 4 ด้าน |
1) ยานยนต์และเครื่องยนต์ในภาคคมนาคมและขนส่ง 2) การผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ 3) การลดสาร SLCPs จากขยะมูลฝอยชุมชน 4) การลดคาร์บอนดำและสารมลพิษอื่นๆ จากการ ผลิตอิฐ 5) เทคโนโลยีทางเลือก และมาตรฐานเพื่อทดแทนสารHFCs 6) การลดสาร SLCPs จากภาคพลังงานในครัวเรือน 7) การแก้ปัญหาคาร์บอนดำและการปล่อยก๊าซมีเทนในภาคเกษตร |
1) การสนับสนุนแผนปฏิบัติการระดับชาติและแผนงานในการลดสาร SLCPs 2) การเงินงบประมาณเพื่อลดสาร SLCPs 3) การประเมินสาร SLCPs ในระดับภูมิภาค 4) มลพิษทางอากาศกับปัญหาสุขภาพ |
ซึ่งการเข้าร่วมกับความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงความร่วมมือและรับประโยชน์ในการดำเนินงานเพื่อลดมลสาร SLCPs ที่มีศักยภาพก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนและเป็นสารมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ รวมทั้งส่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานของพิธีสารเกียวโต พิธีสารมอนทรีออลและความตกลงปารีสที่ประเทศไทยร่วมเป็นภาคีที่มีจุดประสงค์ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
16.เรื่อง ร่างข้อมติรัฐมนตรีเรื่อง Enhancing Cooperation, Harmonization and Integration in the Era of Transport Automation
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างข้อมติรัฐมนตรีเรื่อง Enhancing Cooperation, Harmonization and Integration in the Era of Transport Automation และกรณีที่มีการปรับปรุงแก้ไขร่างข้อมติฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างข้อมติรัฐมนตรีฯ
1. ร่างข้อมติรัฐมนตรีฯ นำเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการบูรณาการด้านการขนส่งในยุคดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น ระบบขนส่งอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ การนำร่องด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการขนส่งสินค้าทางเรืออัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง และสามารถแก้ไขปัญหาด้านการขนส่ง ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างเต็มสมรรถนะนั้นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีกรอบการดำเนินงานและการกำกับดูแลที่มีความสอดคล้องกันทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศภายใต้คณะกรรมการว่าด้วยการขนส่งทางบกของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับยุโรป ซึ่งเป็นเวทีเพื่อกำหนดกรอบการกำกับดูแลระหว่างประเทศสำหรับการขนส่งภายในประเทศ
2. ร่างข้อมติรัฐมนตรีฯ ตกลงร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
(1) ยืนยันความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมการว่าด้วยการขนส่งทางบกในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการขนส่งภายในประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยการจัดให้มีเวทีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการนำระบบดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้กับระบบ e-TIR และ e-CMR สำหรับเอกสารขนส่งทั่วไป ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ การเดินเรือด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบขนส่งอัจฉริยะ และการให้บริการข้อมูลการขนส่งทางน้ำ ซึ่งถือเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ของคณะกรรมการฯ จนถึงปี ค.ศ. 2030 เพื่อพัฒนาความปลอดภัยทางถนนและสร้างเสริมสมรรถนะในการปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการจัดให้มีบริการด้านการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำให้มั่นใจว่าการทำหน้าที่กำกับดูแลงานที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการฯ ก้าวทันต่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยทรัพยากรที่มีและมีความสำคัญสูงสุดสำหรับองค์กรเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมขนส่งอย่างเปิดกว้าง ครอบคลุม และให้ประเทศสมาชิกแห่งสหประชาชาติทั้งปวงสามารถเข้าถึงได้
(3) เชิญชวนประเทศสมาชิกให้สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการขนส่งภายในประเทศอย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะเน้นย้ำการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานเป็นระบบคอมพิวเตอร์ภายใต้อนุสัญญาด้านการขนส่งแห่งสหประชาชาติ ซึ่งดำเนินการโดยคณะกรรมการฯ และหน่วยงานย่อยภายใต้คณะกรรมการฯ
(4) ให้คำมั่นที่จะดำเนินการตามระบบ e-TIR อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นผลจากการบังคับใช้ภาคผนวก 11 ของอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศภายใต้เอกสารอำนวยความสะดวกในการขนส่ง (อนุสัญญา TIR) รวมทั้งทำให้มั่นใจว่าจะมีงบประมาณรองรับสำหรับการนำระบบ e-TIR มาใช้ในระดับประเทศ รวมถึงสนับสนุนการภาคยานุวัติและการปฏิบัติตามระบบ e-CMR (หรือ Convention on the Contract for the International Carriage of Goods by Road เป็นอนุสัญญาที่กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางถนน)
(5) แสดงความเชื่อมั่นว่าการสร้างความสอดคล้องคือ พื้นฐานที่สำคัญของการปฏิบัติงานร่วมกันของระบบขนส่ง และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้กับการขนส่งภายในประเทศสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขนส่ง ป้องกันอุบัติเหตุจากการจราจรทางถนน และลดภาวะจากก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ จะมีการรับรอบข้อมติฯ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ของการประชุมระดับสูง (High – level Policy Segment) ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 ภายใต้หัวข้อ “Automation in Transport” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมประจำปีของคณะกรรมการว่าด้วยการขนส่งทางบก ครั้งที่ 81 ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับยุโรป (UNECE) ระหว่างวันที่ 17 – 24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
แต่งตั้ง
17.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายศักด์สีห์ พรหมโยธี กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
18.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
19.เรื่อง การรับโอนข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอรับโอน ศาสตราจารย์สัมพันธ์ ฤทธิเดช ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
20.เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวม 13 คน แทนรองประธานกรรมการและกรรมการเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ รองประธานกรรมการ
2. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้แทนกระทรวงการคลัง กรรมการ
3. นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ
4. นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรรมการ
5. นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรรมการ
6. นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการ
7. นายทองลักษณ์ หาญศึก ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรผู้ถือหุ้น กรรมการ
8. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล กรรมการ
9. นางน้ำผึ้ง วงศ์สมิทธิ์ กรรมการ
10. นายวัชระ ฉัตรวิริยะ กรรมการ
11. นายลือชัย ชัยปริญญา กรรมการ
12. นายสุวิชญ โรจนวานิช กรรมการ
13. นางอมรา กลับประทุม กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
21.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ แทนผู้ที่ขอลาออก จำนวน 2 คน ดังนี้
1. พันเอก เจียรนัย วงศ์สอาด (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) เป็นกรรมการ แทน นายอวยชัย คูหากาญจน์
2. นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร เป็นกรรมการ แทน ศาสตราจารย์นฤมล สอาดโฉม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
22.เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย จำนวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ดังนี้
1. นายสุรพล สร้างสมวงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
2. นายฐิติศักดิ์ สกุลครู กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือการคลัง
3. นายพงศ์ ศกุนตนาค กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารจัดการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
23.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น (สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา การวิจัยด้านสุขภาพและระบบสาธารณสุข) เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
24.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลบ้านแพ้ว รวม 7 คน แทนประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายมานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานกรรมการ
2. นายชัชวาล เตละวาณิชย์ กรรมการผู้แทนชุมชน
3. นายณัชธพงศ์ ลีกิจแสงเจริญกุล กรรมการผู้แทนชุมชน
4. นายจิโรจน์ ทองเต็ม กรรมการผู้แทนชุมชน
5. นายวิศิษฎ์ ตั้งนภากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นางวชิราวรรณ อิทธิถาวร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายเรวัตชัย พลับประสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
25.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการแต่งตั้ง นายสมคิด กฤษณะวณิช เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป
26.เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นาวาตรี วรวิทย์ เตชะสุภากูร เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
27.เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนสำหรับวาระระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการแต่งตั้ง นางอมรา พงศาพิชญ์ ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สำหรับวาระระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
2. ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งการแต่งตั้งนางอมรา พงศาพิชญ์ ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สำหรับวาระระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ให้เลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิกอาเซียนทราบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี