19 ก.พ. 2562 โลกออนไลน์มีการแชร์บทความ “กกต. จะต้องรับผิดชอบส่วนตัว ถ้าไม่เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเป็นแคนดิเดทของ พล.อ.ประยุทธ์ ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่?” ซึ่งนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยแพร่บนเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยอ้างถึงนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน อาจเข้าข่ายนิยามดังกล่าว อันจะทำให้ไม่สามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีโดยพรรคการเมืองได้ และเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อความชัดเจน ดังนี้
“ตามที่พรรคเพื่อไทยร้องเรียนให้ กกต. เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชารัฐนั้น กกต. ไม่ควรจะฟันธงเอง แต่ควรจะต้องเสนอศาลรัฐธรรมนูญ ผมเปรียบเทียบกับการตีความศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 5/2543 เห็นได้ชัดเจนว่าการเป็นหัวหน้า คสช. และตำแหน่งที่มีเงินเดือนประจำจากงบประมาณนั้น น่าจะเข้าลักษณะของการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามที่บรรยายในคำวินิจฉัยดังกล่าว แต่ได้มีผู้โต้แย้งว่ากรณี คสช. นั้น มีข้อยกเว้นอยู่ในบทเฉพาะกาล มาตรา 263”
“อย่างไรก็ดี ผมได้อ่านทบทวนมาตรา 263 และพบว่า ถึงแม้วรรคสี่จะบัญญัติไว้ว่า..บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิให้นำมาใช้บังคับแก่ การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามมาตรา 264 ข้าราชการการเมืองที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 264 หรือเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา 265 หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรานี้”
“แต่ข้อยกเว้นดังกล่าวน่าจะหมายความเฉพาะถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะและการดำรงตำแหน่งของ คสช. ในรัฐบาลปัจจุบัน มิใช่ยกเว้นสำหรับการเลือกตั้งรัฐบาลต่อไป ซึ่งผมได้เคยสอบถามความรู้จากคุณไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายใหญ่ ท่านก็ยืนยันว่าความเห็นนี้ถูกต้อง กกต. จำเป็นจะต้องเสนอศาลเพื่อวินิจฉัยกรณีนี้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากผลที่จะเกิดขึ้นถ้าหากสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ ขัดกับมาตรา 98 (12) และ (15) นอกจาก กกต. จะไม่สามารถอนุญาตให้เป็นแคนดิเดทแล้ว การเลือกตั้งอาจจะเป็นโมฆะ”
“และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยินยอมให้ตนเองเข้าไปอยู่ในสถานะดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์เองอาจจะเข้าข่ายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์หลังจากนั้น มีความเสี่ยงที่จะถูกร้องเรียนว่าเป็นโมฆะได้ทุกเรื่อง กรณีนี้จึงอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่โตมากกว่าการยุบพรรคพลังประชารัฐมาก และ กกต. ควรจะทำให้มีความชัดเจนก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อๆ ไป มิฉะนั้น การประชุมดังกล่าวก็จะเข้าข่ายมีความเสี่ยงทางกฎหมายอีกด้วย”
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดเกี่ยวกับการที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อบุคคลเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ดังนี้ มาตรา 88 (วรรคหนึ่ง) ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ และให้นำความในมาตรา 87 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม (วรรคสอง) พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งก็ได้ ,
มาตรา 87 (วรรคสอง) เมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองจะถอนการสมัครรับเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เฉพาะกรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และต้องกระทำก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง , มาตรา 89 (วรรคหนึ่ง) การเสนอชื่อบุคคลตามมาตรา 88 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ ,
(1) ต้องมีหนังสือยินยอมของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อ โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด (2) ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160 และไม่เคยทำหนังสือยินยอมตาม (1) ให้พรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้งคราวนั้น , (วรรคสอง) การเสนอชื่อบุคคลใดที่มิได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น ,
มาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง (1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี (3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง “(6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98” (7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท (8) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง ,
มาตรา 98 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (1) ติดยาเสพติดให้โทษ (2) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ (4) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 96 (1) (2) หรือ (4) (5) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (6) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ,
(7) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ (9) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ,
(10) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน ,
(11) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง (12) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง (13) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (14) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี (15) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (16) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ (17) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (18) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา 144 หรือมาตรา 235 วรรคสาม
ส่วนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 นั้นเป็นกรณีวินิจฉัยคุณสมบัติผู้รับสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งใช้หลักข้อห้ามเดียวกับผู้สมัครเป็น สส. ในรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมาตรา 109 (11) ของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ระบุว่าผู้จะสมัครเป็น สส. ต้องไม่เป็นเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือของราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ทำให้ กกต. ตัดสินใจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนิยามของคำดังกล่าว หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นกรณีผู้สมัครหลายรายถูกระบุว่าขาดคุณสมบัติในประเด็นข้างต้น
ขอบคุณเรื่องจาก
อ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 ได้ที่นี่
http://www.dla.go.th/work/e_book/eb2/2k12.pdf
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี