“กลาโหม”กางข้อมูลงบกองทัพถูกตัดไปช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ส่งผลให้อาวุธเสื่อมสภาพ-ไม่มีงบฝึก-ต้องกลับมาพัฒนาให้พร้อมรับ“ภัยคุกคาม” ไร้นัยพิเศษ อัตราการเพิ่มไม่ต่างจาก“รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เผยตัวเลขงบประจำ 49% ซื้ออาวุธ ชี้ผ่านขั้นตอน พรบ.งบประมาณ โปร่งใสตรวจสอบได้มากขึ้นใน“ยุคลุงตู่” ขอให้นักการเมืองมาพูดคุย อย่าพูดลอยๆ พร้อมรับข้อเสนอแนะ หาแนวทางปฏิรูปกองทัพให้เหมาะสม
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 20 ก.พ. ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากที่หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายตัดงบประมาณเหล่าทัพ ว่า กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม 2551 ทั้งในด้านการป้องกันประเทศ และการรักษาความมั่นคงภายใน การพิทักษ์รักษาสถาบันพระมทหากษัตริย์ พิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ พัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชน
ทั้งนี้ ขนาดของกองทัพเป็นไปตามสภาพของภัยคุกคาม และสถานการณ์ในช่วงนั้นๆตามแต่รัฐบาล และสังคม เป็นผู้กำหนด โดยกระบวนการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ไม่แตกต่างจากกระทรวงอื่น ที่ต้องให้ความเห็นชอบและเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน หรือซ่อนเร้น โดยกระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นอันดับ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า เดิมงบประมาณทั้งประเทศวงเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถึงปัจจุบันเพิ่มเป็นจำนวน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งการจัดทำงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ปี 2536 ถึง 2541 อยู่ที่ 12.7% ของประเทศ แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็ถูกลดจนเหลือเพียง 6.5 ถึง 6.3%
อย่างไรก็ตามหลังปี 2549 งบประมาณเพิ่มเป็น 7.38% จนถึงปัจจุบันนี้ยังอยู่ที่ 227,126 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.57% ของงบประมาณประเทศ โดยปี 2549-2562 ก็อยู่ที่ประมาณ 7.59% ไม่ต่างจากยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่การเติบโตยังคงอยู่ที่เกณฑ์ 7% ซึ่งเป็นปกติไม่มีนัยยะพิเศษใด
“ช่วงเกิดวิกฤติ งบประมาณกระทรวงกลาโหมถูกปรับลดลงเหลือเพียง 6% จนทำให้ไม่มีงบประมาณในการฝึก งบประมาณในการใช้น้ำมัน ต้องใช้กระสุนสำรองในอัตราสงครามมาใช้ฝึก หรือแม้แต่การบำรุงยุทโธปกรณ์ ทำให้ยุทโธปกรณ์เสียหาย โดยเฉพาะนักบินที่เกิดวิกฤติสมองไหล เพราะไม่มีชั่วโมงบิน ซึ่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม ทราบเรื่องนี้ดี และเมื่อผ่านวิกฤติไปแล้วเป็นช่วงฟื้นฟูในปี 2549-2551 ทำให้งบประมาณถูกปรับขึ้นมาเป็น 7.9%”
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบการจัดทำงบประมาณที่มีการเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพที่ตั้งไว้ของประเทศไทย อยู่ในอันดับ 6หรือ 7 ของประเทศในอาเซียน โดยอันดับ 1 คือ ประเทศสิงคโปร์ รองลงมา คือ บรูไน , เวียดนาม , มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ จะเป็นการรับรองภัยคุกคามตามห้วงระยะเวลา ต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยสมัย ป้องกันการสูญเสียอธิปไตย แต่ไม่ได้ทำมากเกินไป การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นการจัดหาที่เป็นไปได้ และดำรงสภาพในการป้องกันประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งต้องสร้างความพร้อมรบให้เพียงพอต่อการปฏิบัติได้ทันที เมื่อเกิดภัยคุกคาม ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม งบประมาณกระทรวงกลาโหม 49% เป็นงบรายจ่ายที่ให้กับบุคลากร อาทิ เงินเดือน สิทธิกำลังพล ด้านสวัสดิการของกำลังพล ซึ่งเป็นงบประจำอยู่แล้ว ส่วนอีก 20% เป็นงบประมาณด้านการเตรียมกำลัง การพัฒนายุทโธปกรณ์ การจัดตั้งหน่วยใหม่ ซึ่งเป็นงบในการจัดหายุทโธปกรณ์ 14.75% ซึ่งการจัดซื้อเป็นเรื่องของกองทัพในการผูกพันงบประมาณแต่ละปี เช่น โครงการเรือดำน้ำ ที่เป็นไปตามแผนพัฒนากองทัพ รวมไปถึงการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อทดแทนของเก่าที่กำลังปลดประจำการ เช่น รถถังเอ็ม 41 ที่ใช้มานานตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือเฮลิคอปเตอร์ที่สหรัฐให้กับไทยมา 52 ลำ ที่ตอนนี้ใช้ได้แค่ 3 ลำ มีการซ่อมบำรุง แต่ก็มีสภาพเก่ามาก ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ จึงมีความจำเป็นที่จัดหาใหม่
“การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นไปตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ซึ่งจะประเมินภัยคุกคาม ต้องจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อรบแล้วไม่แพ้ ไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตย ซึ่งจัดหาตามเกณฑ์พื้นฐานความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ว่าปัจจุบันนี้อาวุธของกองทัพยังไม่ครบตามอัตรา จึงอยู่ระหว่างค่อยนำมาเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ยืนยันว่างบของประเทศ คือ ภาษีของประชาชน และทหารทุกคนก็เสียภาษีเช่นกัน อย่างผมก็ต้องเสียภาษีใน 1 ปี วงเงินที่ผมต้องเสียภาษี อยู่ในจำนวนประมาณ 2 เดือนของเงินเดือน จึง ไม่อยากให้มองว่าทหารนำภาษีของประชาชนมาใช้ งบประมาณในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในกระบวนการที่สามารถตรวจสอบได้โปร่งใสมากขึ้นด้วยซ้ำ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณที่ออกมาใหม่ การจะใช้งบประมาณในโครงการใดเกินกว่า 1 พันล้านบาทต้องนำเข้า ครม. จัดหายุทโธปกรณ์ก็เป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล” พล.ท.คงชีพ กล่าว
เมื่อถามว่า ตามนโยบายของพรรคการเมืองหากกระทรวงกลาโหมถูกตัดงบ 10% จะส่งผลกระทบอะไรต่อกองทัพ พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า มิติความมั่นคงไม่ใช่เรื่องการป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนด้วย เนื่องจากกองทัพต้องมีงบประมาณในส่วนของช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ และทุกภัยที่ไม่ได้เกิดจากสงคราม ปัจจุบันก็มีมากมาย แต่เราพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นของประชาชนทุกคน หากข้อเสนอเป็นประโยชน์เราก็พร้อมรับฟัง และอยากพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไม่อยากให้มีการพูดกับแบบลอยๆ หากนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ หรือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีข้อมูลเสนอมา ตนก็พร้อมรับฟัง
เมื่อถามถึงแนวคิดที่เสนอให้ยกเลิกการมีกองบัญชาการกองทัพไทย และตั้งเป็นฝ่ายกรมเสนาธิการแทน สามารถทำได้จริงหรือไม่ พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า ตนอยากให้ผู้ที่เสนอมานั่งคุยกับตนมากกว่า ไม่อยากให้พูดแบบลอยๆผ่านสื่อมวลชน เพราะจะกระทบกับโครงสร้างความมั่นคงทั้งระบบ เรื่องนี้ไม่สามารถได้ทำได้ง่ายๆเพียงวันเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ต้องศึกษาให้ดี
เมื่อถามว่าทำไมพรรคการเมืองหลายพรรค จึงชูนโยบายตัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยไม่มีการพาดพิงกระทรวงอื่น พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า การที่ทหารเข้ามา เพราะประชาชนต้องการ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ตนอยากให้ไปถามเรื่องนี้กับนักการเมืองมากกว่า ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่ผ่านมาของบ้านเราอยู่ที่คนมากกว่า ดังนั้นคนต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยืนยันว่ารัฐบาลพิจารณาทุกงบประมาณอย่างโปร่งใส และไม่มีมุบมิบ
สำหรับงบประมาณกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 2557-2562 มีดังนี้
ปี 2557 ได้รับงบประมาณ 183,819 ล้านบาท
ปี2558 ได้รับงบประมาณ 192,949 ล้านบาท
ปี 2559 ได้รับงบประมาณ 206,461 ล้านบาท
ปี 2560 ได้รับงบประมาณ 213,544 ล้านบาท
ปี 2561 ได้รับงบประมาณ 218,503 ล้านบาท
ปี 2562 ได้รับงบประมาณ 227,126 ล้านบาท
# แฟ้มภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี