18 มี.ค. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเวทีสัญญาประชาคม หัวข้อ “ทำอย่างไรประชาธิปไตยไทยจะไม่ล้มเหลวอีก”
โดยเวทีนี้มีการเชิญว่าที่หัวหน้าพรรคใหญ่ๆ 5 พรรค ประกอบด้วยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายอุตตม สาวนานนท์ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ตามนางสุดารัตน์ ได้มอบหมายนายโภคิน พลกุล มาแทน และนายธนาธร ได้มอบหมายให้นายชำนาญ จันทร์เรือง นักกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่ ส่วนพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐไม่ส่งคนมา จึงมีเพียง 3 พรรคเท่านั้นที่มาร่วมเสวนา
นายโภคิน ตอบคำถามแรกว่าด้วยการผลักดันการเมืองให้เดินไปข้างหน้า และไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์นองเลือดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 โดยยอมรับว่า 10 ปีให้หลังที่ผ่านมา มีเหตุการณ์รัฐประหาร เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตนมองว่า คนไทยถูกทำให้คุ้นเคยกับวัฒนธรรมอำนาจนิยม ต้องการฮีโร่แม้เขามาโดยไม่ถูกต้อง แต่หากเข้ามาแล้วดูดีและทำอะไรให้ จะถูกยอมรับ
“ที่ผ่านมาเราเห็นการให้ดอกไม้กับกลุ่มรัฐประหาร ซึ่งขัดกับที่รัฐธรรมนูญบอกว่าอำนาจเป็นของประชาชน แต่กลับให้ความชื่นชมผู้ที่โกงอำนาจของประชาชนไป ดังนั้นสิ่งที่เป็นปมปัญหา คือ ศาลไม่เคยตีความว่าการยึดอำนาจนั้นไม่ชอบ แต่ยังรับรองการใช้อำนาจ ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีศาลรุ่นใหม่ เป็นผู้บอกสิ่งนี้ผิด ทำไม่ได้ และต้องรับผิดชอบ”นายโภคิน กล่าว
และว่า เราจะแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องมาตรการลงโทษศาล หากพบการวินิจฉัยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ศาลต้องรับโทษ ทั้งนี้พรรคเตรียมพระราชบัญญัติป้องกันรัฐประหาร พร้อมกับให้มีบทลงโทษให้หนัก” นายโภคิน กล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ ให้ความเห็นต่อคำถามของญาติวีรชน ที่ถามถึงแนวทางป้องกันการเมืองที่จะไม่นำไปสู่สถานการณ์ที่สร้างความสูญเสียของประชาชนเหมือนประวัติศาสตร์การเมืองบางช่วงว่า การอ้างทุกอย่างเป็นไปตามกติกา ไม่ใช่เกิดการยอมรับในวงกว้าง เหมือนที่พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกฯ ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ แม้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนมองว่านี่คือ การสืบทอดอำนาจ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ต้องระวังใน 2 เงื่อนไข คือ 1. การเลือกตั้งต้องเป็นที่ยอมรับ ตนยอมรับว่าสถานการณ์ตอนนี้เหมือนไต่เส้น ที่ กกต. บอกว่า ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งตามกติกา แต่พรรคการเมืองกลับมองว่าการแข่งขันเป็นธรรม แต่ไม่รุนแรงถึงขึ้นเกิดปฏิกิริยา ตนขอเรียกร้องอย่าคิดแค่ชัยชนะ แต่ต้องช่วยรักษาความเชื่อมั่นในกระบวนการเลือกตั้ง
“กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งโดยตรงหากถูกมองว่า วินิจฉัยหรือตัดสินเรื่องต่างๆ ทำให้เงื่อนไขเลือกตั้งไม่เสรี หรือไม่เป็นธรรม หรือเกิดกรณีใช้อำนาจมาตรา 44 เข้ามาเกี่ยวข้อง สุ่มเสี่ยงเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงได้ ดังนั้นพรรคการเมือง กกต. และ คสช. ต้องไม่ทำอะไรที่สร้างเงื่อนไขให้เกิดการไม่ยอมรับการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อ 2. เงื่อนไขของการตั้งรัฐบาล ตนเสนอให้ พรรคการเมืองพิจารณากันให้จบ ภายในจำนวน 500 คนที่ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อใครรวบรวมเสียงได้เกินครึ่ง ส.ว. ทั้ง 250 คน ต้องสนับสนุน
ทั้งนี้นายโภคิน กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ ต่อการเลือกตั้งให้เสรี เป็นธรรม แต่ที่ผ่านมาการกำหนดกติกาไม่เสรี และเป็นธรรมแท้จริง ทั้งนี้การเลือกตั้งที่ประชาชนคาดหวังว่าต้องเสรี เป็นธรรมหรือสร้างความรู้สึกว่า โกง เอาเปรียบ และ หน่วยงานจัดการเลือกตั้งไม่ทำหน้าที่เต็มที่ ซึ่งตนขอเรียกร้องอย่าทำให้คนผิดหวังซ้ำจาก 5 ปีที่ผ่านอีก
จากนั้นผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามด้วยว่า ส.ส.จะทำอย่างไรให้ชนะเสียงของส.ว. 250 คนในรัฐสภา
โดยนายชำนาญ กล่าวตอบว่า ตนไม่ทราบว่า พรรคไหนจะได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง แต่โดยธรรมเนียมที่พรรคอันดับหนึ่งจะได้ตำแหน่งประธานรัฐสภา เพื่อเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อนายกฯ ในรัฐสภา หากการเลือกตั้งเสียงออกมาทางฝั่งไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. แบบถล่มทลาย ต้องสร้างแรงกดดันให้ ส.ว. ไม่ยอมรับการสนับสนุนรัฐบาลที่ได้เสียงเพียง 126 เสียง
ขณะที่นายโภคิน กล่าวด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแทนของระบบเผด็จการ แต่พรรคคือ พลังประชารัฐ หากไม่เอาเผด็จการต้องไม่เอาทั้งพรรค และพล.อ.ประยุทธ์ หากยังเอาพรรคอาจมีคนอื่นที่มาแทน พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ ที่ผ่านมาการจัดตั้งรัฐบาลมีความแน่นอนว่า ใครที่มาเป็นลำดับหนึ่งให้จัดตั้งรัฐบาล หากจัดตั้งไม่ได้ต้องให้ลำดับสอง
“ผมเห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ที่ระบุว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่ ส.ว. ไม่ควรยุ่งเกี่ยว ทั้งนี้ ส.ว. ไม่มีมติพรรคเข้าควบคุม เพราะออกเสียงได้อย่างอิสระ เมื่อคนเสียงข้างน้อย อยากเป็นรัฐบาล สามารถซื้อเสียง ส.ว. ได้ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ต้องป้องกันตั้งแต่แรกคือ การยืนหยัดในศักดิ์ศรีและยืนหยัดในระบอบประชาธิปไตย” นายโภคิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้ง 3 ผู้แทนพรรคการเมืองเห็นพ้องกันว่า จะไม่ทำให้บ้านเมืองย้อนรอยสู่เหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 นั้น จะต้องประกอบด้วย 2 ปัจจัย กับ 3 ข้อตกลงร่วม ได้แก่ ปัจจัยที่ 1. การเลือกตั้งต้องสุจริตตรงตามเจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิ์2. เสียงข้างมากในสภาผู้แทนต้องเป็นผู้กำหนดการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วน 3 ข้อตกลงร่วม คือ 1 เห็นพ้องต้องกันสนับสนุนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไม่ว่าจะอยู่ในฐานะรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน 2. เห็นพ้องต้องกันในการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาบุคคล ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน และ 3.ใช้เวทีสภาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งแทนการชุมนุมบนท้องถนน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี