10 เม.ย.62 นายไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขียนบทความ “การเมืองเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 ในอีสาน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยระบุว่า การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA หรือ EHIA) ในโครงการโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติ ไม่ได้ครอบคลุมถึงการปลูกอ้อยที่ใช้พื้นที่มหาศาลด้วย ทั้งที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนเช่นกัน ดังนี้
“ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในอีสานอาจจะไม่ได้เป็นข่าวดังเช่นภาคเหนือ แต่ก็สร้างปัญหาให้กับประชาชนหลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปลูกอ้อยเข้มข้น หนึ่งในต้นตอก็คืออุตสาหกรรมน้ำตาลที่มีการเผาอ้อยที่เป็นพืชเชิงเดี่ยวภายใต้ระบบโควต้าซึ่งเป็นพันธสัญญารูปแบบหนึ่ง และโรงงานน้ำตาลหลายแห่งยังพ่วงโรงไฟฟ้าชีวมวลที่หลายแห่งไม่มีการควบคุมที่ดีพอ ปล่อยมลพิษออกสู่อากาศด้วย”
“แม้ว่าอุตสาหกรรมน้ำตาลยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่อุตสาหกรรมน้ำตาลกลับรุกคืบอีสานอย่างหนัก..ในช่วงท้ายรัฐบาล คสช. ก่อนหน้ามีการเลือกตั้ง รัฐบาลได้อนุมัติโรงงานน้ำตาลพ่วงโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่งคือที่บ้านน้ำปลีก จ.อำนาจเจริญ และที่ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ท่ามกลางการประท้วงของชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบจากโรงงาน แต่เสียงของชาวบ้านก็ไม่มีความหมาย”
“ขณะที่ในปัจจุบัน ทุนอุตสาหกรรมน้ำตาลได้รุกคืบจะผุดโรงงานน้ำตาลพ่วงโรงไฟฟ้าชีวมวลอีกอย่างน้อย 4 แห่ง คือที่บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น อ.เสลภูมิ อ.ปทุมรัตน์ และ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โรงงานแต่ละแห่งมีการปลูกอ้อยประมาณ 3 แสนไร่ หรือมากกว่านั้น สำหรับพื้นที่ที่จะผุดโรงงานน้ำตาล 3 แห่งใน จ.ร้อยเอ็ด คือใจกลางของทุ่งกุลาซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดของประเทศและของโลกจนได้ชื่อว่านครหลวงข้าวหอมมะลิโลก จะทำให้มีการปลูกอ้อยเกือบล้านไร่ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของทุ่งกุลาที่มีพื้นที่รวมกัน 2.1 ล้านไร่”
“เป็นที่น่าสังเกตว่าในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA และ EHIA) ตามกฎหมายจะทำเพียงโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล แต่ไม่ทำในประเด็นผลกระทบจากการปลูกอ้อย แม้ว่าการปลูกอ้อยจะกินพื้นที่มหาศาล มีการใช้สารเคมีเข้มข้น แม้แต่หนองน้ำในไร่อ้อยก็ยังไม่มีปลา มีการปรับภูมิทัศน์ให้ราบเรียบเป็นหน้ากลองทั้งตัดต้นไม้ในแปลงและการทำลายจอมปลวก และมีการเผาในฤดูเปิดหีบอ้อย”
“การเผาอ้อยแท้จริงแล้วไม่ได้สร้างปัญหา PM2.5 เท่านั้น แต่ยังเผาสารเคมีที่ใช้ในการปลูกอ้อยที่เต็มไปด้วยอันตรายที่อาจหนักกว่า PM2.5 อีกด้วย สำหรับรัฐบาล คสช. ที่ผ่านมา ได้มีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือ ทุนอุตสาหกรรมเกษตรที่ปลูกพืชแปลงใหญ่และพืชเชิงเดี่ยว และอุตสาหกรรมน้ำตาลก็ได้ประโยชน์นี้ จึงไม่แปลกที่อีสานจะมีการผุดโรงงานน้ำตาลพ่วงโรงไฟฟ้าชีวมวลราวกับดอกเห็ดในฤดูฝน”
“ซ้ำร้ายกว่านั้น ก่อนการเลือกตั้ง บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาทรายอย่างน้อย 2 แห่ง ยังได้สนับสนุนทุนให้กับพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่หน้าใหม่พรรคหนึ่งอย่างน้อย 6 ล้านบาทผ่านการซื้อโต๊ะจีน หลังการเลือกตั้งก็เริ่มมีสัญญาณของการผลักดันโรงงานน้ำตาลพ่วงโรงไฟฟ้าชีวมวล เห็นได้จาก 16 พฤษภาคมนี้จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ค.1 ของโรงงานน้ำตาลที่ อ.ปทุมรัตน์ที่จะสร้างที่ใจกลางของทุ่งกุลา หลังจากนั้นก็จะทยอยทำเวทีรับฟังความเห็นของโรงงานไฟฟ้าชีวมวลตามมา และแน่นอนว่าไม่มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”
“สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศซึ่งต้นตอหนึ่งก็มาจากอุตสาหกรรมเกษตรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ขณะที่หากจะแก้ไขภัยพิบัติหมอกควันพิษที่ถูกต้องที่สุดก็คือการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่การแก้ไขเมื่อภัยมาถึง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่อนาคตของคนอีสานควรจะถูกกำหนดโดยคนอีสาน ไม่ใช่ถูกกำหนดจากรัฐและทุน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนอีสานจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องอากาศดี ไม่ใช่เพียงแต่ชาวนาชาวไร่ แต่รวมถึงคนในเมืองที่ได้รับผลกระทบด้วย”
“หยุดอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายเถอะครับ ก่อนที่เราและลูกหลานของพวกเราจะถูกรมด้วยควันพิษ PM2.5 บวกกับพิษจากการเผาสารเคมีทีใช้ในไร่อ้อย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี