‘ธีระชัย’กางประเด็นสู้ กกต.ปม‘วันเลือกตั้ง’ เตรียมยื่นศาลปค.วินิจฉัย
18 เม.ย.62 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้งอีกครั้ง ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาชี้แจงว่าการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นไปตามบทเฉพาะกาล ไม่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายธีระชัยระบุว่ายังข้องใจในการชี้แจงของ กกต. จึงจะยื่นเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัยต่อไป มีเนื้อหาดังนี้
ประเด็นที่ผมเตรียมสำหรับยื่นศาลปกครองเรื่องวันเลือกตั้งอาจขัดรัฐธรรมนูญ
เงื่อนไขในมาตรา ๑๐๓ มีลักษณะเป็นเงื่อนไขหลักการทั่วไป เหตุผลที่มาตรา ๑๐๓ ให้กำหนดเวลาต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับนั้น ก็เพื่อให้เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยกำหนดไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันเพื่อให้ทุกพรรคมีเวลาเตรียมตัวผู้สมัครที่เพียงพอ และให้เวลาหาเสียงที่เพียงพอ และกำหนดไม่เกินหกสิบวันเพื่อมิให้ลากวันเลือกตั้งออกไปเพื่อเอื้ออำนวยแก่พรรคใดที่ยังไม่สามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ภายในเวลาอันควร
ส่วนการที่มาตรา ๑๐๒ กำหนดเวลาวันเลือกตั้งภายในสี่สิบห้าวัน ซึ่งสั้นกว่าที่กำหนดในมาตรา ๑๐๓ เนื่องจากกำหนดวันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดลงนั้น ย่อมเป็นที่รู้ทั่วไปก่อนหน้านานแล้ว และผู้ที่เกี่ยวข้องย่อมจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากพอเพียงแล้ว ดังนั้น กำหนดเวลาสูงสุดตามมาตรา ๑๐๒ จึงสั้นกว่ากำหนดเวลาสูงสุดตามมาตรา ๑๐๓
สำหรับการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากการปฏิวัติรัฐประหารนั้น จะต้องใช้ข้อบัญญัติทั้งหลายในรัฐธรรมนูญที่เป็นหลักการทั่วไป ไม่ว่ากระบวนการเกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ การแบ่งเขต วิธีการจัดการเลือกตั้ง ฯลฯ เว้นแต่จะมีข้อบัญญัติใดเป็นการเฉพาะที่ยกเว้นการปฏิบัติตามหลักการทั่วไป และถึงแม้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๖๘ จะบัญญัติให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว ก็มิใช่ว่าจะใช้ระยะเวลาตามมาตรา ๒๖๘ ได้เพียงลำพัง แต่จะต้องใช้ควบคู่กับมาตรา ๑๐๓ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
(ก) บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มิได้มีการระบุให้ยกเว้นการปฏิบัติตามข้อบัญญัติทั้งหลายในรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้เป็นหลักการทั่วไป จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนเวลาในมาตรา ๑๐๓ เป็นหลัก ส่วนเงื่อนเวลาในมาตรา ๒๖๘ ย่อมจะต้องถือเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติม
(ข) มาตรา ๒๖๘ บัญญัติให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม ‘รัฐธรรมนูญนี้’ ซึ่งย่อมหมายความถึงรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มิใช่ให้บังคับเฉพาะมาตราใดมาตราหนึ่ง
(ค) เงื่อนเวลาในมาตรา ๒๖๘ นั้น อ้างถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) จึงหมายความว่า ให้ถือวันที่กฎกติกาเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒสภา เรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง และเรื่องพรรคการเมือง มีผลใช้บังคับ เมื่อใด ภายหลังจากที่ประเทศมีกฎกติกาใน ๔ เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้จัดการเลือกตั้งโดยมิชักช้า คือภายใน ๑๕๐ วัน มิให้เนิ่นนานกว่านี้
(ง) เงื่อนเวลา ๑๕๐ วันตามที่ระบุในมาตรา ๒๖๘ นั้น เนื่องจากเป็นเงื่อนเวลา นับจากวันที่ประเทศมีกฎกติกาเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเรื่องที่แตกต่างจากมาตรา ๑๐๓ ซึ่งกำหนดเงื่อนเวลา นับจากวันที่ประชาชนล่วงรู้เจตนาที่จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่ชัด
(จ) เงื่อนเวลา ๑๕๐ วันตามที่ระบุในมาตรา ๒๖๘ นั้น ย่อมหมายความรวมถึงทุกขั้นตอนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ได้แก่ การรับสมัคร การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ การเลือกตั้ง และการประกาศผล ซึ่งแตกต่างจากมาตรา ๑๐๓ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวันเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากการปฏิวัติรัฐประหาร ย่อมไม่มีเหตุการณ์สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๒ หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๐๓ วรรคแรกและวรรคสองเกิดขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในฐานะเป็น รัฏฐาธิปัตย์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงย่อมมีฐานะเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามที่มาตรา ๑๐๓ วรรคสองและวรรคสามกล่าวถึง และการกำหนดวันเลือกตั้งจึงต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม กล่าวคือต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ
หรือพิจารณาอีกทางหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีการบัญญัติมาตรา ๔๔ ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าวเป็นคําสั่งหรือการกระทําหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด และบทบาทของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ได้มีการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมาตรา ๒๖๕ บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ยังคงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่
และยังกำหนดด้วยว่าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอํานาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่กล่าวถึงข้างต้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจในการที่จะออกกฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากมีการดำเนินการดังกล่าว กฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งก็จะมีสภาพเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกาที่มาตรา ๑๐๓ วรรคสองและวรรคสามกล่าวถึง และวิธีปฏิบัติในการกำหนดวันเลือกตั้งก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม กล่าวคือต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่กฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งดังกล่าวใช้บังคับ
สำหรับประเด็นเรื่องประเพณีการปกครอง
อนึ่ง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ข้าพเจ้าจึงเห็นจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังการปฏิวัติรัฐประหารในปัจจุบันและในอดีต คือในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ , ๒๕๕๐ , ๒๕๓๕ และ ๒๕๒๒ ซึ่งปรากฏข้อมูลดังนี้
๑ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๖๒
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นวันที่ ๖๑นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๔๕ วัน (มาตรา ๑๐๒) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๓)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๖๘ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วันนับแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง เกินกว่าเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)
๒ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๐
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นวันที่ ๖๐ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๔๕ วัน (มาตรา ๑๐๗) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๘)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๙๖ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๙๐ วันนับแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)
๓ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๕
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นวันที่ ๖๖ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕)
(ข) ธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๑๑) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่เกิน ๙๐ วัน(มาตรา ๑๑๒)
(ค) ธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๑๘ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๒๐ วันนับแต่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)
๔ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๒๒
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นวันที่ ๗๕ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๐) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่เกิน ๙๐ วัน(มาตรา ๑๐๑)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๐๒ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๒๙ วันนับแต่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)
จะเห็นได้ว่า ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กำหนดวันเลือกตั้งจะอยู่ภายในเงื่อนเวลาของการยุบสภาทุกครั้ง ยกเว้นปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงแม้เงื่อนเวลาสูงสุดในบทเฉพาะกาลจะกำหนดไว้สูงกว่าทุกครั้ง
จึงขอเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อ กกต. จะได้จัดเตรียมคำโต้แย้งได้อย่างสะดวก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี