จําคุก‘ทักษิณ’3ปี
เอี่ยวเอ็กซิมแบงก์ปล่อยก้ให้พม่า
กกต.เชือด‘ธนาธร’ถือหุ้นสื่อ
ห้ามชิงสส.ให้แก้ข้อหาใน7วัน
‘เจิมศักดิ์’โวยโดนแจ้งคดีกบฏ
ศาลฎีกานักการเมืองสั่งจำคุก “แม้ว” 3 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมให้ออกหมายจับคดีเอี่ยวเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ 4,000 ล้านให้รัฐบาลพม่า แล้วไปซื้อสินค้าคมนาคมจากบริษัทชิน แซทเทิลไลท์’ หลัง ปปช.ร้องรื้อพิจารณาคดีตามกม.ใหม่แบบไม่มีตัวจำเลย ด้าน’กกต.’เชือด’ธนาธร’ถือหุ้นสื่อห้ามชิงสส.ให้ชี้แจงแก้ข้อหาใน7วัน
ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เดินทางเข้ามายื่นหนังสือถึงผู้ตรวจฯขอให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)และสำนักงานอัยการคดีพิเศษ แจ้งข้อหากบฏ จากการเข้าชุมนุมในเวทีกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเป็นที่สุดเด็ดขาดแล้วว่า การชุมนุมของประชาชนไม่ผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
โดย นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกปปส.เพียงแค่จัดรายการสดบนเวทีปราศรัยในบางช่วงเวลา ไม่มีอาวุธ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงและไม่เคยนำประชาชนเดินทางไปปิดล้อมสถานที่ราชการหรือขัดขวางการรับสมัครรับเลือกตั้งหรือขัดขวางการเลือกตั้งในปี 2557 แต่ดีเอสไอ และอัยการกลับแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันเป็นกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร มั่วสุมตั้งแต่ 10 ขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งซึ่งเป็นการใช้อำนาจแจ้งข้อกล่าวหาที่เกินความเป็นจริง ไม่แยกแยะการกระทำของแต่ละบุคคลออกจากกัน ดำเนินคดีกับตนในข้อหาเดียวกันกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส. เพียงเหตุผลว่า ใครก็ตามที่ร่วมชุมนุมกับนายสุเทพ จะต้องมีความผิดเช่นเดียวกัน
“ในการจัดรายการบนเวทีปราศรัยทุกครั้งจะมีพิธีกรร่วม โดยเป็นการจัดรายการถ่ายทอดสดจากการชุมนุมบนถนนสาธารณะ ไม่เคยบุกรุกหรือเข้าไปภายในสถานที่ราชการ อีกทั้งไม่เคยจัดรายการเพียงลำพัง แต่กลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพียงคนเดียว ทั้งนี้ตนหนักใจในข้อหากบฏเพียงข้อหาเดียว เพราะมั่นใจมาโดยตลอดว่าการกระทำที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นการชุมนุมเพื่อล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาในยุคที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ ส่วนข้อกล่าวหาอื่นๆผมพร้อมที่จะสู้คดี” นายเจิมศักดิ์กล่าว
ด้านนายรักษเกชา แฉ่ฉายเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวคล้ายกับกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ยื่นคำร้องต่อประธานผู้ตรวจฯมาก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับการชุมนุมของกปปส. และพวกรวม 14 คน ซึ่งในข้อหากบฏศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักเอาไว้แล้ว ไม่ควรมีหน่วยงานใดจะนำไปกล่าวหาหรือฟ้องได้อีก ส่วนความผิดอาญาข้อหาอื่นๆ ก็ต้องไปต่อสู้คดีกันเอง โดยทางสำนักงานผู้ตรวจฯจะเร่งทำคำร้องและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสนอผู้ตรวจฯเพื่อวินิจฉัยต่อไป
ผู้ตรวจฯรับคำร้องเลือกตั้งโมฆะ
นายรักษา เกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง วินิจฉัยให้การเลือกตั้งวันที่ 24มีนาคม เป็นโมฆะ ว่า ผู้ตรวจได้มีมติรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 17เมษายนและได้ส่งหนังสือให้ทาง กกต.ชี้แจงในประเด็นที่ผู้ร้องตั้งข้อสังเกต โดยให้เวลาในการชี้แจงภายใน7วัน เนื่องจากเป็นประเด็นเร่งด่วนและอยู่ในความสนใจของสาธารณชน จำเป็นต้องเร่งการพิจารณา ซึ่งกรอบเวลาการชี้แจงจะครบกำหนดในวันพฤหัสบดีที่ 25เมษายนนี้
“ถ้า กกต.ส่งคำชี้แจงกลับมา ทางสำนักงานก็จะประมวลข้อมูลที่ได้รับ เสนอเข้าที่ประชุมผู้ตรวจฯเพื่อพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ทันที เพื่อให้ทันในวันที่ 9พฤษภาคมนี้ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ยืนยันว่าการพิจารณาคำร้องดังกล่าวจะต้องพิจารณาด้วยความรอบครอบ สามารถตอบคำถามให้คลายสงสัยได้ หากมีข้อยุติไปในทางใดทางหนึ่ง”
เชือด’ธนาธร’ถือหุ้นสื่อห้ามชิงสส.
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า นายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดียจำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น ทั้งนี้ตามข้อกล่าวหาข้างต้น นายธนาธร มีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำ หรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาและมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ภายใน 7วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา
‘ธนาธร’ชิ่งยุโรป-รีบบินกลับไทย
วันเดียวกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก ระหว่างอยู่การเยือนหลายประเทศในทวีปยุโรป โดยระบุว่า ห้องสมุดเนเธอร์แลนด์:ประชาธิปไตยคือจุดเริ่มต้นของคุณภาพชีวิตที่ดี หนึ่งในสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดในการเดินทางเยือนยุโรปครั้งนี้ ก็คือการจัดการเมืองของเนเธอร์แลนด์ ที่ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตสูงอย่างเท่าเทียมกัน สมกับอัตราภาษีที่ต้องเสียไป
‘ผมพยายามจะใช้เวลาเท่าที่มี ศึกษารูปแบบการบริหารจัดการประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นรัฐบาล เพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่คำสวยหรูแต่เป็นเรื่องเดียวกับปากท้องและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองไทยจะไม่เอื้อให้ผมได้ทำอะไรมากไปกว่าใช้พลังไปกับการขับเคี่ยวในเกมการเมือง ผมเพิ่งได้รับแจ้งจากเมืองไทยว่าให้รีบกลับไปเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดคิด เจอกันที่ไทยครับ”
ศาลจำคุก’แม้ว’3ปีไม่รอลงอาญา
วันเดียวกัน เวลา 14.00น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะคดีปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) ได้อ่านคำพิพากษา ในคดีนี้ ที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “นายทักษิณ ชินวัตร” อายุ 70 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรืออละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา157 กรณีที่ นายทักษิณ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เห็นชอบให้ ธนาคาร เอ็ก- ซิมแบงก์ อนุมัติปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอัตรา 3% ต่อปี ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า (เมียนมาร์) ซึ่งดอกเบี้ยนั้นต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ และเพื่อหวังประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียม ที่มีการสั่งซื้ออุปกรณ์จาก บริษัท ชินแซทเทอร์ไลท์ ฯที่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค.51 องค์คณะฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อม.3/2551 แล้วนัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อจะสอบคำให้การ “นายทักษิณ” ในวันที่ 16 ก.ย.51 แต่ปรากฏว่าขณะนั้น “นายทักษิณ” ไม่มาศาลเนื่องจากหลบหนีไปต่างประเทศในคดีอื่นแล้ว องค์คณะฯ จึงมีคำสั่งออกมายจับให้ติดตามตัวนายทักษิณมาดำเนินคดีนับตั้งแต่นั้น
กระทั่งปี 2561 ป.ป.ช.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้นำคดีดังกล่าว ที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเนื่องจาก “นายทักษิณ” จำเลย หลบหนีไปพำนักต่างประเทศ ขึ้นพิจารณาใหม่โดยไม่มีตัวจำเลย หลังจาก พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) พ.ศ.2560 ออกมาบังคับใช้ ซึ่งในมาตรา 28 บัญญัติสาระสำคัญว่า “ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตาม มาตรา 27 และศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จำเลยไม่มาศาล และมีการออกหมายจับจำเลยแล้วยังไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดีเมื่อใดก็ได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา”
กระทั่งวันที่ 4ก.ค.61 องค์คณะได้พิจารณาคดีครั้งแรกนี้ใหม่ โดย “นายทักษิณ” จำเลย ไม่แต่งตั้งผู้ใดรับมอบอำนาจมาศาลแทน เมื่อนัดพิจารณาครั้งแรก “นายทักษิณ” จำเลย ไม่มาศาล ศาลถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ ตาม วิ อม. มาตรา 33 (บัญญัติว่าในวันพิจารณาครั้งแรก ในกรณีที่จําเลยมิได้มาศาล ในวันพิจารณาครั้งแรกไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ถือว่าจําเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี) . ทั้งนี้“องค์คณะผู้พิพากษาฯได้ดำเนินการไต่สวนพยานของ ป.ป.ช.โจทก์ โดยไม่มีตัวจำเลย และพยานจำเลยมานำสืบหักล้างต่อสู้คดีแต่อย่างใด องค์คณะผู้พิพากษาจึง พิพากษาว่า“นายทักษิณ” จำเลย มีความผิดตา มาตรา 152 ให้จำคุกเป็นเวลา 3ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ออกหมายจับจำเลยมาบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี