"ปธ.ศาลฎีกา"ระบายความในใจ ศาลตัดสินมีทั้งคนพอใจ-ไม่พอใจ เตือนเป็นตุลาการต้องอดทน "ไม่ลงเป็นผู้เล่นในเกมส์รอยิงลูกโทษ" ถ้าทุกคนไม่ยอมรับกติกาจะเกิดความวุ่นวาย ถ้าไม่เห็นด้วยต้องแก้กติกาก่อน ถึงแก้แล้วก็ต้องมีคนแพ้ชนะ ไม่สามารถสร้างพึงพอใจกับทุกฝ่ายไม่ว่าที่ใดในโลก
28 เม.ย.62 ที่ห้องอายัก อบาโลน คอนเวนชั่นฮอลล์ ห้องบอลลูม 1 ชั้น 9 อาคารไทยซีซีทาวเวอร์ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ร่วมกับผู้เข้ารับอบรม หลักสูตร "ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง" รุ่นที่ 23 จัดสัมมนาสาธารณะเรื่อง "มองกัญชาให้รอบด้าน" มี นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน ขณะที่ นายประสงค์ พูนนธเนศ ประธานผู้เข้ารับการอบรมฯ เป็นผู้กล่าวรายงาน ซึ่งมี ดร.จิตติ จั้งสิทธิภักดี ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน กล่าวต้อนรับ
สำหรับผู้ร่วมวงเวที สัมมนาสาธารณะครั้งนี้ ประกอบด้วย นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) , รศ.วิเชียร กีรตินิจกาล ผอ.ศูนย์วิทยาการเทคโนโลยีชีวภาพทางเกษตรแห่งชาติ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้ง นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา , ศาสตราจารย์ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ รองนายแพทย์ใหญ่ (สบ7) รพ.ตำรวจ เป็นผู้ดำเนินรายการ และร่วมสัมมนา
นายชีพ กล่าวว่า การสัมมนาสาธารณะเรื่องของกัญชาให้รอบด้านในวันนี้ สืบเนื่องมาจากการแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษการแก้ในหลักการและออกข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับการนำกัญชามาใช้ในการวิจัยและการแพทย์ไทยนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศไทยจุดหนึ่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อตอบรับกฎหมายใหม่ฉบับนี้ การสัมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ เพราะ พ.ร.บ.ยาเสพติดฉบับใหม่ทำความเข้าใจหลักการและเหตุผลในการปรับแก้กฎหมายผลกระทบและเตรียมความพร้อมในทางปฏิบัติของทุกภาคส่วน เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ร่วมเสวนาและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
นอกจากนี้ นายชีพ อย่างกล่าวอีกว่า ตนได้กล่างเปิดสัมมนาตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว อย่างไรก็ตาม การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นโดยผู้ที่รับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูงรุ่นที่ 23 ซึ่งมีศาลยุติธรรมเป็นเจ้าของหลักสูตร ซึ่งเดิมทีเดียวตนเข้าใจว่าผู้ร่วมสัมมนาในวันนี้มีเฉพาะผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรเท่านั้น ซึ่งตนมีอะไรในใจหลายอย่างที่จะมาพูดกับผู้เข้ารับการอบรม เพราะว่าตั้งแต่เปิดการอบรมในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ตนก็ไม่ได้มีโอกาสได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เมื่อทราบว่าวันนี้มีผู้สนใจ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการอีกมากมาย ความในใจที่อยากจะพูดก็คงพูดไม่ได้ เพราะเป็นที่สาธารณะยิ่งทราบจากผู้จัดว่ามีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เหตุผลเพราะว่าถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าผู้พิพากษา หรือตุลาการ จะมีวัฒนธรรมที่จะไม่พึงพูดในที่สาธารณะ เราจะไม่ออกความเห็นในเรื่องต่างๆ นาๆ แม้ว่าสังคมบางส่วนจะวิพากษ์วิจารณ์เราก็ตาม ศาลยุติธรรมเราจะให้เหตุให้ผลในคำพิพากษาวินิจฉัยไว้เป็นลายลักษณ์อักษรครบถ้วนหมดแล้ว เราจะไม่มาพูดในที่สาธารณชน
ทั้งนี้ ตนก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างแม้ว่าจะมีการถ่ายทอดสดก็ตาม แต่จะพูดด้วยความระมัดระวัง หัวข้อมองกัญชาให้รอบด้านนั้น ประเทศไทยเราให้ความสำคัญกับกัญชา เนื่องจากมีความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ว่ากัญชาจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้ในการรักษาโรครักษาชีวิตให้อยู่นาน ทุกท่านย่อมทราบว่า มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องตาย แค่ถ้าเรามองกัญชาเป็นยาที่มีประโยชน์กับชีวิตที่จะทำให้ตายช้า มนุษย์เรามีสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องอยู่สองอย่างก็คือ หมอกับศาล ที่ตนต้องพูดแบบนี้เนื่องจากในยุคปัจจุบันคนเราเวลาคลอดก็หนีไม่พ้นมือหมอที่โรงพยาบาล สิ่งที่สองที่ทุกคนต้องหลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือศาล จะเห็นว่าทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้หรืออยู่ข้างนอก เมื่อถึงแก่ความตายแล้วมีสมบัติที่ต้องจัดการมรดก ซึ่งจะต้องมีคำสั่งศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก บางคนอาจจะใช้บริการศาลก่อนที่จะตาย
สำหรับศาล เมื่อคนที่เขารู้สึกว่าเขาได้รับความเสียหายโดยการกระทำของใครก็จะมาศาลในลักษณะที่เป็นโจทก์ การตัดสินคดีของศาลทุกคดีก็จะต้องมีฝ่ายชนะและฝ่ายใดแพ้ฝ่ายหนึ่ง ทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่าขอความเป็นธรรมอยากได้รับความเป็นธรรมจากศาล ซึ่งความเป็นธรรมของผู้พูดไม่ว่าในฐานะโจทก์หรือจำเลยก็คือเขาจะต้องชนะคดี ศาลไม่สามารถให้ทั้งโจทก์และจำเลยชนะคดีได้พร้อมพร้อมกันผู้ที่ชนะคดีก็พึงพอใจ ผู้ที่แพ้คดีก็ไม่พึงพอใจเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่สามารถทำให้คู่ความทั้งสองฝ่ายชนะทั้งคู่ ไม่ว่าศาลที่ไหนในโลกนี้
"ตนได้มีโอกาสไปเยือนประเทศต่างๆ ตามคำเชิญของประธานศาลฎีกาแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศที่ปกครองในระบอบสังคมนิยมจะเรียกผู้นำศาลว่าประธานศาลประชาชนสูงสุด ส่วนที่ปกครองโดยทุนนิยม เสรีนิยม สังคมนิยม ก็มีศาลเป็นผู้ตัดสินคดีเป็นแบบนี้ทั่วโลก มีฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ เหมือนกัน"
ทั้งนี้ ตนอยากเรียนให้ทุกคนที่มาร่วมสัมมนาทราบว่า เมื่อศาลได้มีคำวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่ง ฝ่ายที่ชนะคดีก็จะมีความพึงพอใจว่าได้รับความเป็นธรรม ฝ่ายที่แพ้คดีก็จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และคนเดียวกันเวลาที่มาใช้บริการศาลถ้าชนะคดีก็จะยิ้มออกไปจากศาล แต่คนคนนั้นเมื่อมาใช้บริการศาลในคดีอื่นถ้าแพ้ก็จะเดินออกไปและพูดออกมาดังๆ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลเราก็จะถูกต่อว่าหรือสังคมก็จะกังขาอย่างนี้ตลอด แต่เราไม่มีทางทำเป็นอย่างอื่นได้ เราจะให้ชนะคดีทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปไม่ได้ ศาลเราไม่มีส่วนได้เสียกับใคร ศาลเป็นองค์กรที่ตั้งรับเราไม่ได้ทำงานในเชิงรุก เราจะทำงานต่อเมื่อมีผู้นำคดีมาฟ้องต่อศาล เราถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ให้ความเป็นธรรม ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่แพ้คดีทุกครั้งที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ศาล ก็จะมีคำถามตามมาว่าศาลไม่ทำอะไรหรือมีปฏิกิริยาบ้างหรืออย่างไร หรือว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว สังคมจะเข้าใจผิดเราหรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นผู้พิพากษาคนหนึ่งในฐานะผู้นำองค์กร ผมก็บอกว่าเราไปโต้ตอบเขาไม่ได้หรอก เขาจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรเราก็ต้องอดทน เราจะพูดอย่างไรคนที่เขาแพ้คดีเขาก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับเรา ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดโต้ตอบ ก็จะกลายเป็นคู่กรณี ซึ่งศาลไม่เคยเป็นคู่กรณีกับใคร เรามีหน้าที่ชี้ขาดให้คู่กรณีที่นำคดีขึ้นมาสู่ศาล
"เราเป็นผู้ใหญ่ คนที่วิพากษ์วิจารณ์เราเป็นเด็กกว่าเรา คำว่าเป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าอายุน้อยกว่าเรา แต่การวัดว่าใครเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้วัดที่อายุ ไม่ได้วัดที่ตำแหน่งหน้าที่ แต่วัดที่ความอดทน ไม่ต้องไปทะเลาะกับเขา เรารอว่าเมื่อไหร่เขาจะมาขึ้นศาลเท่านั้นเอง เราก็จะให้ความเป็นธรรมกับเขาเหมือนทุกๆ คน ผมเคยพูดกับผู้พิพากษาว่าดูเกมฟุตบอลถ้าเราลงไปไล่ฟุตบอลกลางสนามเราจะเหนื่อย รอยิงลูกโทษอย่างเดียวง่ายกว่าเยอะ บอลวางอยู่เฉยๆ ประตูกว้างๆ เราเตะเข้าโกลง่ายกว่า ถ้าเราเข้าใจกันชีวิตก็ง่าย ทุกๆ ฝ่ายต่างมีบทบาทหน้าที่อย่างไร ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้คนไทยเราไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน"
กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ไว้ ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ทำอะไร นิติบัญญัติมีหน้าที่ทำอะไร ศาลมีหน้าที่ทำอะไร องค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ทำอะไร ทุกอย่างเขียนไว้ในกฎหมาย แต่คนไทยสังคมไทยเราไม่ยอมรับองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ก็ดี ตามที่กฎหมายต่างๆ บัญญัติไว้ก็ดี เมื่อเขาได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ถ้าไม่ถูกใจคนไทย เราส่วนหนึ่งไม่ยอมรับแล้ว สังคมจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าเราไม่ยอมรับผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ มันก็ต้องใช้กฎหมายเถื่อน ความป่าเถื่อน ใช้ความพึงพอใจส่วนตัว และสังคมก็จะไม่สงบสุข ความจริงแล้วไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยอย่างเดียวที่เป็นอย่างนั้น ถ้าติดตามข่าวทั่วโลกในปัจจุบัน แม้ประเทศที่อ้างว่าตัวเองเป็นประเทศที่ศรีวิไล หรือเจริญแล้ว แต่เมื่อไม่พอใจ "รัฐฐะ" ก็ออกมาก่อความวุ่นวายมากมาย ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศไทย
"ผมเลยอยากจะฝากตรงนี้ ถ้าเราไม่ยอมรับกติกาไม่ว่ากติกาใดๆ ทั้งสิ้น มันก็วุ่นวาย ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับกติกาก็ต้องแก้กติกาก่อน ซึ่งไม่ว่าจะแก้กติกาอย่างไร เมื่อวินิจฉัยหรือตัดสินออกมาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะพึงพอใจได้ทุกฝ่าย ที่ไหนในโลกนี้ก็เป็นอย่างนี้"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี