"บิ๊กฉัตร"กำชับทุกหน่วยงานรับมือภัยแล้ง เข้ม12จังหวัดเสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค มอบมหาดไทยตรวจสอบแหล่งน้ำธรรมชาติที่เข้าขั้นวิกฤต พร้อมจัดทำแผนเข้าสู่หน้าฝน
1 พ.ค.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2562 ว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการและกำชับให้ทุกหน่วยงานซักซ้อมแผนปฏิบัติการของหน่วยงานต่างๆ เพื่อรับมือกับภาวะเสี่ยงประสบภัยแล้ง เนื่องจากมีพื้นที่ 5 จังหวัด ที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยแล้งแล้ว รวมถึงยังมีพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค
โดย สทนช.ได้วิเคราะห์ข้อมูลน้ำฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงเดือน พ.ค. - ก.ค.ร่วมกับปริมาณน้ำในแหล่งน้ำผิวดินต่างๆ คาดว่า จะมีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค เนื่องจากขาดแหล่งน้ำสำรองสำหรับการผลิตน้ำประปา จำนวน 12 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร กำแพงเพชร ลำพูน อุตรดิตถ์ และตาก , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ และกาฬสินธุ์ , ภาคกลาง 4 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา ชัยนาท และอ่างทอง และภาคตะวันตก 1 จังหวัด คือ เพชรบุรี ซึ่ง สทนช.ได้จัดทำข้อมูลเพื่อวางแผนแก้ปัญหาพื้นที่ขาดแคลนน้ำแล้ว
ขณะเดียวกัน พล.อ.ฉัตรชัย ยังขอให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามแผนการแก้ปัญหาประสบภัยแล้งและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งระยะสั้นและระยะกลาง โดยในระยะสั้น จะดำเนินการจัดหาน้ำแจกจ่ายในพื้นที่ประสบภัย ซ่อมแซมขุดบ่อบาดาลและขุดลอกแหล่งน้ำ ส่วนในระยะกลาง เป็นการพัฒนาแหล่งน้ำโดยการเพิ่มความจุแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำ โดยมีโครงการที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการทั้งสิ้น 144 โครงการ งบประมาณ 1,200 ล้านบาท สามารถเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ 28.12 ล้านลูกบาศก์เมตร
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์วิกฤต และให้จังหวัดเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการให้การช่วยเหลือพื้นที่ประกาศภัยแล้ง โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นศูนย์กลางอำนวยการ
อย่างไรก็ตาม สทนช.ได้นำสภาพปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 61/62 มาวางแผนปรับปรุงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่ประชุมยังได้พิจารณามาตรการเตรียมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 31 ต.ค.โดยกำหนดมาตรการเป็นรายพื้นที่เพื่อการจัดการน้ำในเขื่อนและแหล่งน้ำธรรมชาติต่างๆ ให้กักเก็บได้มากที่สุด โดยนำเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) ที่ปรับปรุงใหม่
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.เพื่อใช้บริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน ขณะที่สถานการณ์น้ำระหว่างประเทศ คือ แม่น้ำโขง ที่ได้มีการประสานงานภายใต้กรอบทวิภาคีและพหุภาคีในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลน้ำกับประเทศจีนและประเทศลาวในช่วงฤดูฝน โดยประเทศจีนรายงานข้อมูลน้ำ 2 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป ขณะที่ประเทศลาวได้เริ่มการใช้งานเขื่อนไซยะบุรี (กั้นแม่น้ำโขงตอนล่าง) ผ่านทางระบบสารสนเทศของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (TNMC-IS) ซึ่งจะทำให้ประเทศมีข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ พล.อ.ฉัตรชัย ยังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในช่วงก่อนฤดูฝนสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค.เป็นต้นไปด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี