"สมัชชาคุ้มครองสิ่งแวดล้อม"อัดรบ.ตัวการซ้ำเติมโลกร้อน-เอาใจทุนพลังงาน/อุตสาหกรรม ปล่อยมลพิษPM2.5 ยกโครงการ"พลังงานสะอาด"ให้ทุนพลังงานผูกขาดหาประโยชน์ ฉีกกฎหมายผังเมืองเปิดเสรีตั้งโรงงานอุตสาหกรรม จี้ภาครัฐมุ่ง"ไอยูยู"จนละเลยการทำประมงยั่งยืน ปล่อยทุนใหญ่จับปลาแบบไร้สำนึกสิ่งแวดล้อม ด้านชนเผ่าพื้นเมืองใกล้สาบสูญ เหตุภาครัฐประกาศพื้นที่ป่าทับที่ชุมชนวิถีดั่งเดิม โลกร้อนผลกระทบหนัก ต้นเหตุไฟป่าภาคเหนือ พืชบางชนิดกำลังสูญพันธุ์
8 พ.ค.62 สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สคส.) จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการพัฒนาที่ยั่งยืน" โดย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงาน กลุ่มนิเวศน์วัฒนธรรมศึกษา กล่าวว่า ต้องเร่งขยายแนวคิด Climate Defender หรือ นักปกป้องโลกร้อน เพราะปัจจุบันสถานการณ์เลวร้ายอย่างมาก เช่น กรณี ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 แม้ภาครัฐจะพยายามลดโลกร้อนด้วยการรับข้อเรียกร้องระดับโลกจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แต่ก็พยายามผลักดันโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ด้วยการออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งโรงงาน ณ จุดใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึกถึงกฎหมายผังเมือง จึงทำให้เกิดโรงงานไฟฟ้าขยะ หรือโรงงานอุตสาหกรรมหนักเกิดขึ้นมากมาย นี่คือตัวการของการสร้างมลพิษทางอากาศ มิใช่เกิดจากมลพิษจากควันรถยนต์หรือระบบขนส่งที่ใช้พลังงานฟอสซิล โดยภาครัฐไม่ได้วัด PM2.5 จากต้นกำเนิด คือ โรงงานอุตสาหกรรม
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของโครงการพลังงานสะอาด เช่น โซล่าเซลส์ หรือโซล่าฟาร์ม ที่รัฐบาลกำลังสนับสนุนให้กลุ่มทุนนิยมขนาดใหญ่ด้านพลังงาน แต่ไม่สนับสนุนให้ภาคประชาชน ชุมชน หรือผู้ประกอบการรายย่อยได้รับการสนับสนุนเพื่อเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาด ดังนั้น นโยบายพลังงานสะอาดของรัฐบาลได้กลายเป็นโครงการพลังงานสะอาดโดยทุนผูกขาด และรัฐบาลไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการตั้งเป้าหมายนโยบายพลังงานสะอาดเพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิล รวมถึงไม่มีเป้าหมายที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงหรือเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินการเพื่อให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดพลังงานสะอาด
ด้าน นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการทำประมงอย่างยั่งยืนมีความสำคัญตั้งแต่การจับปลา ณ ตำแหน่งใด โดยไม่ได้จับสัตว์น้ำขนาดเล็ก สัตว์น้ำที่จับได้ สดสะอาด และปลอดสารฟอมารีนผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง จนกลายเป็นกระแสความนิยมแม้แต่ประมงขนาดใหญ่ ยังนำแนวคิดของชาวประมงที่ทำประมงอย่างยั่งยืน พร้อมกับต้องพยายามดันให้คนรุ่นใหม่ หรือชาวประมงพื้นบ้านคนยุคใหม่ Smart Fisher Folk คือ ต้องมั่นใจในตัวเองด้วยการทำให้เป็นจริงทั้งด้านเห็นผลเป็นรูปธรรมจากการทำงานระหว่างชาวบ้านกับองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เช่น แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทางทะเลที่มีสัตว์น้ำหายากจริง ชุมชนได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่จัดเป็นอีเว้นธ์สนุกๆ ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ กรณี ปากบารา จ.สตูล
"ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน เป็นเพียงปัญหาหนึ่งแต่เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร และกดขี่จากผู้มีอำนาจที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากทะเล เช่น พลังงาน ท่องเที่ยว ขนส่ง ฯลฯ แม้ไอยูยู จะสามารถแก้ปัญหาสถานการณ์สัตว์น้ำในทะเลจากการกำกับเรือประมงขนาดใหญ่ จาก 2 - 3 หมื่นลำ เหลือร้อยกว่าลำเท่านั้น จึงทำให้ปริมาณสัตว์น้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประมงพื้นบ้านเริ่มปรับตัวและมีข้อจำกัดจากกฎหมายภาครัฐ"
นายวิโชคศักดิ์ กล่าวว่าปัญหาใหญ่ของการทำประมงอย่างยั่งยืน คือ ภาครัฐ ละเลยปัญหาการจับปลาทุกชนิดโดยไม่เลือกชนิด ขนาดหรืออายุ เช่น เรือประมงขนาดใหญ่ได้รับใบอนุญาตจับปลากะตัง แต่ปลาที่จับได้ทั้งหมดล้วนเป็นลูกปลาทู แต่ภาครัฐกลับไปมุ่งเรื่อง ไอยูยู ตรวจสอบแรงงานต่างด้าว ขนาดเรือ หรือ อุปกรณ์จับสัตว์น้ำ แต่ไม่สนการจับสัตว์น้ำโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน หากทำแบบนี้ทรัพยากรในท้องทะเลหายนะอย่างแน่นอน
ขณะที่ นายกิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่าการจัดการทรัพยากรป่าไม้และที่ดิน ในฐานะชนเผ่าพื้นเมืองได้รับผลกระทบสูงจากปัญหาสภาวะโลกร้อน และนโยบายหรือกฎหมายของภาครัฐที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต จากการที่ภาครัฐประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับพื้นที่และขับไล่ชนเผ่าพื้นเมืองออกจากป่า จึงไม่สามารถดำเนินวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั่งเดิมของชนเผ่าไว้ได้ โดยการกระทำของภาครัฐไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วม จึงส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองต้องสูญเสียที่ดินทำกิน จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ไม่สามารถรักษาองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้
ทั้งนี้ เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองยังได้ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนเห็นได้ชัดจากปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นอากาศร้อนฝนตกน้อย ยิ่งภาครัฐห้ามเผา จึงทำให้ใบไม้ทับถมสะสมจำนวนมาก จึงทำให้เกิดไฟป่า ฤดูการเพาะปลูกเปลี่ยนไป พืชบางชนิด เช่น "เมียง" เหมือนต้นชา เคยเติบโตในป่า แต่ปีนี้ผลผลิตตกต่ำมาก เพราะถูกแดดและความร้อนแผดเผา สำหรับแนวทางการจัดการแก้ปัญหา คือ การทำแผนที่ชุมชน จัดตั้งเครือข่ายดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำข้อมูลเพื่ออธิบายให้สังคมภายนอกและภาคราชการได้เข้าใจ
"ปัญหาไฟป่าเห็นได้ชัดถึงผลสำเร็จความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชน หรือไม่ เช่น ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ทางจังหวัดให้งบ 11 ล้านบาท เพื่อดับไฟป่า โดยแจกจ่ายเงินให้กับ 400 กว่าหมู่บ้านเพื่อช่วยดูแล เฉลี่ยหมู่บ้านละหมื่นกว่าบาท แต่ที่ จ.เชียงใหม่ ดับไฟป่าแต่ละครั้งระดมคนและชาวบ้าน 125 คน โดยเป็นการรวมพลังระหว่างชาวบ้านถือเป็นการรวมพลังให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม ถือเป็นการจัดการร่วม เช่น วิธีชิงเผาก่อน หรือจับจุดฮอตสปอต โดยดึงภาคประชาสังคมประชาชนเข้ามาช่วยกันมีส่วนร่วมแก้ปัญหาไฟป่า"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี