“มาร์ค” เปิดใจ หลัง ปชป. ได้หัวหน้าคนใหม่ ย้ำจุดยืน ไม่หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกคืออุดมการณ์พรรค ชี้หลังเลือกตั้งกลายเป็นศูนย์รวมของปัญหา
16 พ.ค.62 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมารวมถึงบทบาทของตัวเองหลังพ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย รวมถึงสถานการณ์การจับขั้วจะจัดตั้งรัฐบาล และ เปิดพื้นที่ส่วนตัวให้มีการถ่ายภาพแมวที่เลี้ยงไว้ทั้ง 26 ตัว กับนายแพทย์คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ หรือหมอเอ้ก ผ่านการไลฟ์สด Facebook โดยระบุในตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาถูก 2 ขั้วการเมือง ซึ่งขณะนี้กลายเป็นคู่ขัดแย้งหลัก เปลี่ยนการเลือกตั้งกลายเป็นการเลือกข้าง ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอแนวทางตรงกลางเพื่อเป็นทางออก จึงทำให้ประชาชนที่ตัดสินใจเลือกข้าง ไม่คิดว่า ประชาธิปัตย์เป็นคำตอบ อย่างไรก็ตามการประกาศจุดยืนทางการเมืองไม่สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกมองว่า ส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ 3 ล้าน 9 แสนกว่าเสียงที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ อย่างน้อย 70-80 เปอร์เซ็นต์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะการประกาศจุดยืนทางการเมืองดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องรักษาคำพูด เพื่อรักษาฐานเสียง 3.9 ล้านเสียงที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคนที่บอกว่า จะตัดสินใจ เพราะอยากได้คนที่เคยเลือก แต่เที่ยวนี้ไม่ได้เลือก ก็เป็นสิทธิ์ที่จะคิดได้ แต่สำหรับตนลาออกจากหัวหน้าพรรค โดยไม่ลังเลเพราะถือว่า เรื่องการรักษาจุดยืนและคำพูดเป็นเรื่องสำคัญก็อยากให้พรรคทำแบบนั้น แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของพรรคคือ เข้าสู่การพิจารณาของกรรมการบริหารพรรคและส.ส. ซึ่งตนก็ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะเราตกลงกันไว้ว่า จะไม่พูดลึกลงไป แม้จะถูกกดดันจากกลุ่ม New เดิมก็ตาม
“ผมยืนยันว่า การประกาศ ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นความพยายามต่อสู้กับกระแสให้ประชาชนเลือกข้าง สิ่งที่ผมพูดไม่ใช่อารมณ์ส่วนตัว แต่อยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์พรรค และคิดว่า ตอนนี้ได้สะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า ความขัดแย้งในทางการเมืองวนเวียนอยู่ที่ตัวพลเอกประยุทธ์ เป็นข้อเท็จจริงในสังคม จะให้ผมพูดว่า สิ่งที่พูดไปไม่จริงหรือเกินเลยอุดมการณ์ก็ยืนยันว่า ไม่ใช่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับกระแสข่าวเรื่องการจัดตั้งขั้วการเมืองที่ 3 นั้นเป็นเพียงข่าวลือ ซึ่งตนไม่ขอลงรายละเอียดเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นกระบวนการภายในของพรรคที่จะตัดสินใจทางการเมือง แต่ขอพูดอย่างนี้ว่า โดยข้อเท็จจริงและกติกา เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ขณะนี้เหมือนถูกบังคับให้เลือกข้างอยู่ แต่ทั้งสองข้างเดินไปแล้วคงจะราบรื่นยาก ความหมายคือ อยู่ดีๆมีข่าวว่า ประชาธิปัตย์จะไปจับมือกับเพื่อไทย ซึ่งตนก็แปลกใจเพราะได้ประกาศจุดยืนไปตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว แต่สมมุติว่า ถ้าประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทยเปลี่ยนข้างไปอยู่ที่พูลแมนตามข่าวลือ นับตัวเลขแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะมีเสียง ส.ส. มากถึง 376 เสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แต่สำหรับพลเอกประยุทธ์ มีแค่ 126 เสียงในสภาก็เพียงพอแล้ว
"ในขณะนี้พลเอกประยุทธ์มีเกิน 125 จากหลายปัจจัยรวมถึงสูตรการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อของ กกต. ดังนั้นการเมืองขั้วที่ 3 จึงไม่สามารถปิดสวิตช์ ส.ว. ได้จริง ในทางกลับกันสมมุติภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมกับพลังประชารัฐจะมีเสียงเกินครึ่งประมาณ 3-5 เสียง เท่านั้นอาจจะพอ สำหรับการบอกว่า ได้เสียงเกินครึ่ง แต่ยากต่อการบริหารประเทศทำให้เกิดความคิดเรื่องงูเห่า จึงมีคำถามว่า หากทำแบบนี้ สังคมจะยอมรับหรือไม่ และจะผลักดันเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงประชาธิปัตย์จะต้องคุยกันเพื่อค้นหาวิธีไม่ให้อยู่ในสภาวะแบบนี้หรือไม่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึง นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคว่า ต้องให้โอกาสนายจุรินทร์ในการดำเนินการตามแนวคิดที่จะทำให้อุดมการณ์ทันสมัย รวมถึงการตัดสินใจทางการเมืองในอนาคต ซึ่งสส.และกรรมการบริหารพรรคจะประชุมกัน โดย้ห็นว่า นายจุรินทร์ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่จะต้องมาช่วยพรรค ส่วนตนได้เรียนหัวหน้าพรรคไปแล้วว่า จะทำหน้าที่เป็นสส.และสมาชิกพรรคพร้อมช่วยหัวหน้าพรรคในทุกเรื่อง ถ้าถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาได้ไหมขึ้นอยู่กับว่าพรรคจะสามารถทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในเรื่องอุดมการณ์และจุดยืนได้หรือไม่ จะทำให้คนเห็นความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่วางใจได้ พึ่งได้ ตอบโจทย์ปัญหาประเทศได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับมาไม่ได้ แต่ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก็คงยาก
ส่วนบทบาท หลังพ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนมองงานการเมืองเป็นอาชีพเพราะงานการเมืองเป็นงานเฉพาะ ที่ต้องทำงานเกินเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไร ก็ต้องใส่ใจปัญหาของบ้านเมืองศึกษานโยบายศึกษาแนวความคิดต่างๆอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นสส.ก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่เป็นสส.ที่ดีส่วนวันข้างหน้าก็แล้วแต่ว่าสถานการณ์จะไปอย่างไร โดยในช่วงนี้ไปไหนก็มีแต่คนบอกว่าหน้าตาสดใสขึ้น ซึ่งปกติตนไม่ใช่คนเครียดเป็นคนสบายๆ และ แยกชีวิตส่วนตัวออกจากการเมืองเมื่อกลับถึงบ้านจะไม่เอาการเมืองกลับไปที่บ้านด้วย หลังลาออกจากหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่แบกไว้กว่า 14 ปี จึงเหมือนกับยกอะไรออกไป หน้าตาผ่องใสมากขึ้น เมื่อเช้าได้พบกับหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตนยังแซวอยู่ว่า จะเริ่มต้นคุยกับท่านว่า แสดงความยินดี แต่นึกถึง 14 ปีที่ผ่านมาไม่แน่ใจว่า ควรจะพูดคำนี้ไหม ท่านก็หัวเราะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี