“5 มิ.ย. 2562” เป็นวันที่จะได้รู้กันเสียทีว่า “ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป?” หลังผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือนเศษ ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลของ 2 ขั้วใหญ่ “ทีมคนรักลุง(ตู่)” อันมี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นแกนนำที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย แม้จะได้ที่นั่ง ส.ส. 116 ที่นั่ง มาเป็นอันดับ 2 แต่ได้คะแนนจากทั่วประเทศ 8.4 ล้านเสียง กับ “ทีมคนเบื่อลุง(ตู่)” อันมี พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำ ที่ได้ ส.ส. 136 ที่นั่ง แต่ได้คะแนน 7.9 ล้านเสียง
ในขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยังไม่ชัดเจนว่าจะส่งใครลงชิงเก้าอี้นายกฯ จาก 1 ใน 3 คนที่เสนอไว้ตอนหาเสียง เรียกว่าปรากฏเป็นข่าวรายวัน เดี๋ยวก็เป็น “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ต่อมาก็ได้ข่าวว่าจะเปลี่ยนเป็น “อดีตรัฐมนตรีผู้แข็งแกร่ง” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และบางวันก็ยังมีชื่อของ ชัยเกษม นิติสิริ เจ้าของคำพูด “นาทีนี้ผมไม่ลาออก” ในช่วงเป็นรัฐบาลรักษาการณ์เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก่อนจบลงด้วยการยึดอำนาจองของกองทัพในนาม คสช. แถมยังมีชื่อของ “พ่อน้องฟ้า” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พันธมิตรสำคัญเพิ่มมาอีก
หันกลับมาดูทางฝั่งพรรคพลังประชารัฐ แม้ภายนอกจะเห็นว่า “ชื่นมื่น” เหลือเกินกับการจัด “ขบวนขันหมาก” แห่ไปสู่ขอพรรคการเมืองต่างๆ ให้มาเข้าร่วมรัฐบาลและยกมือให้ “ลุงตู่อยู่ต่อ” แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยข่าวลือสารพัดว่า “ยังไม่ได้รับการตอบสนอง” โดยเฉพาะประเด็น “เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ที่ พปชร. ก็อยากเก็บไว้ แต่บรรดาพรรคร่วมทั้งหลายก็อยากได้มาครอง เพราะแต่ละพรรคก็มีนโยบายและต้องการดำเนินการให้เป็นไปตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชนที่เลือกเข้ามาเป็นผู้แทนในสภา
(ซ้าย) สุชาติ ตันเจริญ , (ขวา) สมศักดิ์ เทพสุทิน
เริ่มกับที่พรรคพลังประชารัฐ แกนนำคนสำคัญที่แสดงท่าทีไม่อยากให้เก้าอี้ รมว.เกษตรฯ ตกไปเป็นของพรรคอื่นคือ สมศักดิ์ เทพสุทิน ให้เหตุผลว่าเพราะทาง พปชร. เองก็ได้ชูนโยบาย “โคบาลประชารัฐ” เป็นนโยบายเด่นที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้เช่นกัน สาระสำคัญคือ “ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโคเป็นอาชีพเสริม” นอกเหนือจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เคยทำกันมา
ในเบื้องต้นแม้นโยบายโคบาลประชารัฐจะเน้นไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) เพราะไม่สามารถจัดหาพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์โคได้มากพอจะแจกจ่ายได้พร้อมกันทุกพื้นที่ แต่ระยะยาวตั้งเป้าว่าจะส่งเสริมให้ได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ พปชร. ยังมีนโยบายพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี หรือที่ฮือฮามากคือ “ส.ป.ก. 4.0” ไอเดียเด็ดจาก “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ เสนอให้ “ผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. ใช้ที่ดินได้หลากหลายวัตถุประสงค์มากขึ้น” จากเดิมที่จำกัดให้ใช้เพื่อการเกษตรเท่านั้น แต่ย้ำว่าที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. เช่นเดิม
(ซ้าย) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ , (ขวา) กรณ์ จาติกวณิช
พรรคต่อมาที่แม้จะผ่านการประชุมภายในมาหลายหนแต่ไม่อาจหาข้อสรุปได้ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐคือ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ภายหลังจากที่ “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หลังพาพรรคไป “แพ้ยับ” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคเก่าแก่อายุกว่า 7 ทศวรรษ เพียงเพราะประกาศว่า “ไม่สนับสนุนลุงตู่” วันนี้หัวหน้าพรรคคนใหม่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กำลังถูกจับตามองว่าจะนำ ปชป. ที่ความเห็นคนในพรรคยังไม่ตรงกันไปในทิศทางใด
นอกจากประเด็น “วันนี้ประชาธิปัตย์จะยืนตรงไหน?..ร่วมมือกับพลังประชารัฐหรือเป็นฝ่ายค้านอิสระ?” แล้วเรื่องนโยบายภาคเกษตรก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ ปชป. ต้องได้ครอบครองเก้าอี้ รมว.เกษตรฯ ด้วยเช่นกัน เพราะจะได้ดำเนินนโยบาย “ประกันรายได้ขั้นต่ำ” ที่เคยดำเนินการนำร่องไปแล้วในกลุ่มชาวนา ในช่วงปี 2552 - 2554 ขณะนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ และ กรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยหากฤดูกาลใดราคาข้าวต่ำกว่าการคำนวณรายได้ขั้นต่ำที่พึงมี รัฐบาลจะจ่ายชดเชยส่วนต่างที่ขาดไปให้
ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 2 คู่หู “อภิสิทธิ์ - กรณ์” เดินสายหาเสียงด้วยการชูนโยบายประกันราคาขั้นต่ำ แต่คราวนี้มุ่งขยายไปยังภาคส่วนอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะ “ยาง - ปาล์ม” พืชเศรษฐกิจที่เป็น “จิตวิญญาณของคนภาคใต้” อันเป็นฐานเสียงหลักของ ปชป. มาช้านาน อาทิ ยางขั้นต่ำ 60 บาทต่อกิโลกรัม ปาล์มขั้นต่ำ 10 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “โฉนดสีฟ้า” ซึ่งมีที่มาจาก “โฉนดชุมชน” ให้ชุมชนมีสิทธิในการบริหารจัดการพื้นที่ทำกินของตนเอง ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เคยริเริ่มไว้แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็ประกาศยุบสภาเสียก่อนและรัฐบาลหลังจากนั้นไม่ได้สานต่อ
(ซ้าย) ศักดิ์สยาม ชิดชอบ , อนุทิน ชาญวีรกูล
ศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้มีแต่เฉพาะพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็ตกเป็นข่าวขอร่วมในศึกครั้งนี้เช่นกัน เพราะการหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด ภท. ไม่ได้มีแต่นโยบายกัญชาเสรีเท่านั้น “แบ่งปันกำไรสินค้าเกษตร (Profit Sharing)” ก็เป็นอีกนโยบายหลักที่ทางพรรคชูขึ้นมา โดยเน้นเป็นพิเศษไปที่กลุ่มชาวนาผู้ปลูกข้าว
“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อธิบายวิธีการของนโยบายแบ่งปันกำไรสินค้าเกษตร ว่า “จะต้องให้ชาวนาได้กำไรร้อยละ 75 เพราะลงทุนลงแรงมากที่สุด ส่วนพ่อค้าได้ร้อยละ 15 และโรงสีได้ร้อยละ 10” เรื่องนี้เป็นแนวคิดที่ชอบธรรม ไม่ใช่ในอดีตที่คนลงทุนลงแรงมากแต่กลับได้ผลตอบแทนน้อย และยืนยันว่านโยบายนี้ทำได้จริงกว่านโยบายประกันราคาขั้นต่ำหรือจำนำข้าว เพราะทั้ง 2 นโยบายสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับเลขาธิการพรรค ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่เปิดเผยว่า แนวคิดของนโยบายแบ่งปันกำไรสินค้าเกษตร มาจากการเห็นตัวอย่างในกลุ่ม “ชาวไร่อ้อย - โรงงานน้ำตาล” ที่มีกฎหมาย พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ.2527 นำมาสู่การกำหนดสัดส่วนแบ่งปันผลประโยชน์กันของผู้เกี่ยวข้อง โดยเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้ส่วนแบ่งกำไรร้อยละ 70 โรงงานแปรรูปน้ำตาลและผู้ส่งออกได้ร้อยละ 30
อนึ่ง..หากไปดูรายงาน การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ.2561 ที่จัดทำโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ จะพบว่า 1.แรงงานไทย 20 ล้านคนจากทั้งหมด 38 ล้านคนเป็นแรงงานนอกระบบ 2.แรงงานนอกระบบมีอายุค่อนข้างมาก หรือตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป 3.แรงงานนอกระบบส่วนใหญ่การศึกษาน้อย โดย 6.2 ล้านคนจบต่ำกว่าประถมศึกษา (เรียนไม่จบ ป.6) และอีก 5.7 ล้านคน จบเพียงระดับประถมศึกษา (ป.6) เท่านั้น และ 4.แรงงานนอกระบบอยู่ในภาคเกษตร (รวมป่าไม้และประมง) มากถึง 11 ล้านคน
ด้วยความที่จำนวนคนในภาคเกษตรมีมากกว่าสิบล้านชีวิต (ยังไม่นับครอบครัวญาติพี่น้องที่อยู่เบื้องหลัง) การที่แต่ละพรรคอยากครอบครองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะหากพรรคสามารถผลักดันนโยบายของตนที่ได้หาเสียงไว้ไปทำให้เกิดขึ้นจริง จนทำให้บรรดา “กระดูกสันหลังของชาติ” ลืมตาอ้าปากมีรายได้เพิ่มขึ้น ย่อมคาดหวังถึงคะแนนเสียงที่จะไหลมาเทมาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้นั่นเอง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี