ตอนนี้มีเสียงเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาล บางพรรคถือเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนพรรคฝั่งตรงข้าม ก็อยากให้แก้รัฐธรรมนูญเช่นกัน
ประชาชนก็อยากให้แก้ เพราะรัฐธรรมนูญซึ่งมีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ฉบับปี 2560 ก็สร้างความสับสนวุ่นวายมากมาย อาทิ
1.จัดตั้งรัฐบาลก็ยาก เพราะมีพรรคเล็กพรรคน้อยมาก จะต้องรวมกันเกือบ 20 พรรค จึงจะเป็นรัฐบาลได้
2.เกิดการต่อรองในเรื่องผลประโยชน์ และตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะกลายเป็นระบบแบ่งเค้ก หรือการเมืองน้ำเน่า ไม่มีวันจบ
3.ระบบเล่นพรรคเล่นพวก ระบบธุรกิจการเมือง หาเงินเข้าพรรคและเข้าตนเอง ก็จะยังคงอยู่ เพราะกลไกของรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และกฎเกณฑ์การเลือกตั้ง เปิดช่องให้เดินไปอย่างนี้ คือ ต้องหาเงินซื้อเสียงเข้าสภา ต้องหาเงินเข้าพรรคเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งของลูกพรรค และเพื่อซื้อเสียง สส. ต้องเล่นพวกในระบบข้าราชการประจำ จะเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งแก่ผู้ที่ช่วยนักการเมืองน้ำเน่าหาเงิน ฯลฯ
4.การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ก็เป็นที่ไม่ยอมรับจากบุคคลหลายฝ่าย ไม่ว่าจะจากนักศึกษา ประชาชนวัยหนุ่มสาว จากสังคมประชาธิปไตยภายนอก เช่น หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เป็นต้น
5.ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) อย่างหนัก ในการที่กำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติ (สส., สว.) เป็นผู้เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายบริหาร) และ สส. ก็แก่งแย่งกันเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ฝ่ายนิติบัญญัติ (สส., สว.) มีหน้าที่ควบคุม กำกับดูแลการทำงานทั้งของฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ รวมทั้งมีหน้าที่ออกกฎหมายบังคับฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ บังคับวิสาหกิจเอกชน ประชาชนทั่วไป มีหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้กระทรวง ทบวง กรม (ฝ่ายบริหาร) และศาลยุติธรรม (ฝ่ายตุลาการ) นับว่าเป็นฝ่ายที่มีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว ตามหลักธรรมาภิบาล (good governance) จึงไม่ควรเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารเสียเอง จะทำให้เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง (Strong conflicts of Interest) ไม่ทำหน้าที่ควบคุม กำกับดูแลคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้า และผู้บริหารของพรรคการเมืองเหล่านั้น ปล่อยให้มีการทุจริต คอร์รัปชั่น หาเงินเข้าพรรคและตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงของพรรคและของตน
6.คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body หรือองค์กรเลือกตั้ง) บุคคลเข้าใช้อำนาจต่างๆ ยังเป็นไปเช่นเดิม คือ
6.1 คณะผู้เลือกตั้ง ผู้เข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติ ได้แก่ ประชาชนทั่วไปผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เข้าหลักเกณฑ์ของโสคราตีส (Socrates) นักปราชญ์ และนักประชาธิปไตยของกรีก เมื่อ 2500 ปีมาแล้ว เรียกว่า ประชาธิปไตยโดยสิทธิแต่กำเนิด
6.2 คณะผู้เลือกตั้ง ผู้เข้ามาใช้อำนาจตุลาการ ได้แก่ประชาชนทั่วไป ผู้ที่ได้ผ่านการศึกษา ผ่านการคัดเลือก ผ่านการกลั่นกรอง ผ่านการฝึกอบรม ผ่านประสบการณ์มามากพอ ที่จะเป็นผู้เลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการ (กต.) ได้ ซึ่งโสเครตีส เรียกว่า ประชาธิปไตยด้วยปัญญาและความรู้
6.3 คณะผู้เลือกตั้ง ผู้เข้ามาใช้อำนาจบริหาร ได้แก่ สส. สว. จำนวนเพียง 750 คน ซึ่งเป็นผู้ได้รับเลือกใช้อำนาจนิติบัญญัติอยู่แล้ว ซึ่งตามระบบการบริหารจัดการในยุค 4G เรียกว่า Bad governance เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interest) อย่างเห็นได้ชัด
7.จึงไม่มีความสมดุลแห่งอำนาจ (No equilibrium) ในอำนาจอธิปไตยทั้งสามของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแยกอำนาจออกเป็นสามประการ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ
กิจการทุกอย่างในโลก จำเป็นต้องมีความสมดุล การเมืองก็ต้องมีความสมดุล (Political Equilibrium) การขาดความสมดุลในร่างกายย่อมทำให้คนป่วยไข้ ไม่สบาย การขาดความสมดุลในการเมืองของประเทศ ทำให้เกิดการลุแก่อำนาจ โดยเผด็จการรัฐสภาบ้าง โดยเผด็จการทหารบ้าง อย่างที่เราเห็นกันมาเป็นวงจรอุบาทว์ (Vicious Circle) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 และอย่างที่ลอร์ดแอคตอน เขียนไว้เมื่อ ค.ศ.1887 หรือ 130 ปีเศษ แล้วว่า
อำนาจทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น
ยิ่งอำนาจมาก ก็เกิดการคอร์รัปชั่นมาก
ข้อเท็จจริง และคำกล่าวของปราชญ์ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ในการเมืองของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
สรุปแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประเทศมีความสงบ ปราศจากความแตกแยก ปราศจากการเมืองน้ำเน่า ปราศจากช่องทางที่เอื้ออำนวย หรือบังคับให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องคอร์รัปชั่น และเพื่อให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า พลเมืองอยู่ดีกินดีมากกว่าปัจจุบัน ก็จะต้องแก้ไขให้ถูกจุด หรือถ้าเป็นแพทย์ก็ต้องหาสมมุติฐานของโรคให้ถูกต้องเสียก่อน
ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ที่เราไปก๊อบปี้ฝรั่งมาทั้งดุ้น มีปัญหาเรื่อง วิธีการเข้าสู่อำนาจรัฐ ซึ่งได้แก่ วิธีการเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติ วิธีการเข้าสู่อำนาจตุลาการ และวิธีการเข้าสู่อำนาจบริหาร
ก.การเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติ น่าจะเป็นไปเช่นเดิมตามข้อ 6.1 ซึ่งเป็นไปตามปรัชญาโบราณ ที่ถือว่า ประชาชนมีอำนาจโดยกำเนิด ที่จะเป็นคณะผู้เลือกตั้ง ที่จะเลือกคนเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนตน
ข.การเข้าสู่อำนาจตุลาการ ก็น่าจะเป็นไปตามเดิมตามข้อ 6.2 ซึ่งเป็นไปตามปรัชญาโบราณ ที่มีคณะผู้เลือกตั้งที่มีปัญญาและความรู้
เลือกผู้ที่มีปัญญาและความรู้ด้วยกัน เข้าไปใช้อำนาจตุลาการแทนตน
ค.การเข้าสู่อำนาจบริหาร ที่ใช้อยู่ปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญไทยแทบทุกฉบับ ตามข้อ 6.3 ซึ่งเขียนโดยนักนิติบัญญัติ เขียนให้ประโยชน์ และให้อำนาจแก่ตนเอง จึงควรได้รับการแก้ไข โดยมีการคัดเลือก กลั่นกรอง คณะผู้เลือกตั้ง (electoral body) ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารที่พิสูจน์ได้ (proven record) และบุคคลเหล่านี้ ซึ่งจะมีเป็นจำนวนนับหมื่นนับแสน ทั้งจากภาครัฐกิจ ธุรกิจ และประชากิจ จะเป็นผู้เลือกตั้ง หัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) แทน สส. และ สว. ดังที่ก่อให้เกิดความล้มเหลวและเป็นที่มาของ“ประชาธิปไตยแบบรัฐประหาร” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
----------------
อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า วิธีนี้ หรือที่เรียกว่า ประชาธิปไตยระบอบมืออาชีพ (Professional Democracy) ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชน ไม่มีส่วนร่วมในการเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร
การที่ สส. สว. อ้างว่า ตนเป็นผู้แทนประชาชนจึงควรเป็นผู้เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะตนถูกเลือกมาให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ แทนประชาชน มิใช่ให้มาใช้อำนาจบริหาร
ส่วนประชาธิปไตยระบอบมืออาชีพ ประชาชนมีหนทางเข้าไปเป็นผู้เลือกตั้งฝ่ายบริหาร (electoral body of the executive power) ได้มากกว่า และดีกว่า ประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา เพราะประชาชนทุกคนต้องประกอบอาชีพ ก็มีโอกาสก้าวหน้าเป็นผู้บริหารรัฐกิจ ผู้บริหารธุรกิจ และผู้บริหารประชากิจ ได้เท่าเทียมกัน และในขอบเขตที่กว้างขวางกว่า สส. และ สว. จำนวนเพียง 750 คน
----------------
นี่คือวิธีที่ “คนไทย ช่วยกันคิด เพื่อจบชีวิต การเมืองน้ำเน่า” ที่เรากำลังเบื่อหน่ายกันอยู่ จาก พ.ศ. 2475 จนตราบเท่าปีนี้ เดือนนี้
และวันนี้ จึงต้องขอเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน แต่คนละวิธี คนละวัตถุประสงค์
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี