‘ประชาธิปัตย์ทรยศประชาชน’จริงหรือ? เด็กปชป.ถามหรือจะให้ลงโรงกับพวกทุจริตจำนำข้าว
16 มิ.ย.62 นายพรพล เอกอรรถพร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.สระแก้ว พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์บทความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ประชาธิปัตย์ทรยศประชาชน” จริงหรือ? เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.62 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาดังนี้
“ประชาธิปัตย์ทรยศประชาชน” จริงหรือ?
ได้อ่านบทวิจารณ์ในเชิงโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง “ประชาธิปัตย์ทรยศต่อประชาชน” ของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร (ดร.โกร่ง) โดยท่านได้นำเหตุการณ์การลาออกจาก ส.ส. ของ “พี่มาร์ค” มาเป็นประเด็นเดินเรื่อง ซึ่งผมเองไม่ได้ให้ค่ากับบทวิจารณ์นี้นัก เพราะทราบดีถึงเส้นทางของ ดร.โกร่ง ที่ได้ตำแหน่งมาจากผู้มีอำนาจในแทบทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์, พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ, คุณอานันท์ ปันยาชุน, พล.อ.สุจินดา คราประยูร, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, คุณทักษิณ และ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วนในรัฐบาลประชาธิปัตย์ ท่านไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ กำลังถูกโจมตีอย่างหนักในขณะนี้ คือ เรื่องการเข้าร่วมรัฐบาลกับ “ลุงตู่” ผมจึงขอแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา แบบไม่มีดราม่าปน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณาดู
ก่อนอื่น ผมขอปูพื้นให้ทราบว่า ผมไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมการสืบทอดอำนาจของ “ลุงตู่” แม้แต่น้อย รับไม่ได้กับการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่หมกเม็ดกติกาเพื่อสืบทอดอำนาจ จึงได้พยายามบอกต่อสังคมถึงผลที่จะตามมา แต่เสียงทักท้วงไม่ดังพอ และเมื่อประชาชนกว่า 16 ล้านคน ได้ลงประชามติรับร่าง รธน.ฉบับนี้ พรรคการเมืองทุกพรรค จึงเหมือนถูกบังคับให้เดินสู่สนามแข่งขันที่ไม่มีวันชนะ แต่ต้องหาวิธีให้ได้คะแนนที่สูงที่สุด
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำทีมโดย “พี่มาร์ค” ก็ได้นำเสนอนโยบายที่จับต้องได้ และตรงใจประชาชนยิ่งกว่าทุกพรรค ซึ่งนับว่าได้วางแผนมาอย่างดี
ขณะที่ผลโพลในแต่ละช่วงเวลา ก็ได้แสดงให้เห็นว่า คนที่เบื่อ “ลุงตู่” มีจำนวนมากกว่าคนที่รัก ชนิดทิ้งระยะห่างพอสมควร
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ “พี่มาร์ค”ตัดสินใจประกาศไม่สนับสนุน “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคงหวังให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่เบื่อ “ลุงตู่” หันมาสนับสนุนนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์แทน
แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต การประกาศครั้งนี้กลับทำให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องตอบคำถามที่ตามมาอย่างมาก อาทิ
“ทำไมต้องประกาศอย่างนั้น ? ไม่ต้องประกาศดีกว่า หาเสียงของเราไป”
“ถ้าไม่ร่วมมือกัน แล้วจะสู้พวกนั้นได้หรือ?”
“ไม่เข้ากับ “ลุงตู่” แล้วจะไปเข้ากับอีกฝั่งหรือ?”
และเมื่อผลคะแนนออกมา พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 53 คน และคะแนนเสียงทั่วประเทศเหลือเพียง 3.9 ล้านคะแนน น้อยลงกว่าเดิมเกือบ 3 เท่าตัว จึงพอวิเคราะห์ได้ว่า ในภาวการณ์ทางการเมืองที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายเช่นนี้ คนที่ไม่เอา “ลุงตู่” ในโพล ส่วนใหญ่เขาก็ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน เพราะเขามองว่าพรรคประชาธิปัตย์ กับ “ลุงตู่” นั้นอยู่ตรงข้ามกับเขา ส่วนคนที่เอา “ลุงตู่” ก็คือคนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์เป็นทุนเดิม และมีบางส่วนเกรงว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้าม จึงตัดสินใจลงคะแนนให้กับ “ลุงตู่” แทน
พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่แพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ขณะที่ทุกพรรคได้ชัยชนะทั้งหมด เข้าตำรา “เดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน”
หลังจากการเลือกตั้ง “พี่มาร์ค” จึงได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค และพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ “พี่อู๊ดด้า” มาเป็นหัวหน้าพรรคแทน ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุ
ในส่วน 3.9 ล้านเสียง ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลืออยู่นั้น นับเป็นแฟนพันธุ์แท้ของพรรคตัวจริง เพราะขนาดมีคนมายื่นเงินซื้อเสียงให้ถึงหน้าบ้าน ก็ยังคงไม่ไปไหน
ส่วนเหตุผลที่ยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ เชื่อว่าผู้สมัครในระบบเขตแต่ละท่าน ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน คงมีคำตอบอยู่ในใจ อาทิ บางส่วนเป็นสายเลือดแท้ ที่รักและเชื่อมั่นในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะสนับสนุน หรือไม่สนับสนุน “ลุงตู่”
บางส่วนเลือกเพราะชื่นชอบผลงานในอดีต เช่น เบี้ยยังชีพผู้ชรา, ประกันราคาข้าว ราคามัน หรือ เรียนฟรี 15 ปี ฯลฯ
บางส่วนเลือกเพราะเป็นแฟนคลับนายหัวชวน, พี่มาร์ค หรือแกนนำคนอื่นๆ
บางส่วนเลือกเพราะคุ้นเคยกับผู้สมัคร ส.ส.เขต ที่ขยันเข้าถึงทุกบ้าน
บางส่วนเลือกเพราะชอบในนโยบาย อยากให้ลูกได้เรียน ปวส.ฟรี หรือ อสม.จะได้เดือนละ 1,200
ในส่วนที่เลือก เพราะไม่เอา “ลุงตู่” ก็คงมีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับส่วนที่เอา “ลุงตู่”
ด้วยเหตุผลที่หลากหลายเช่นนี้ จึงไม่อาจสรุปว่า 3.9 ล้านเสียง คือผู้ที่ไม่เอา “ลุงตู่” ทั้งหมด แต่สามารถบอกได้ว่า เขาคือคนที่รักและเชื่อมั่นในพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ มุ่งหวังให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่ดี มีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีหน้าที่พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ให้แฟนๆได้เห็น หากไม่ดำเนินการ นั่นแหละคือการ ทรยศต่อศรัทธาของเขา
แต่ดราม่า ของการเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อจำนวน ส.ส. ของขั้วการเมืองทั้งสองฝ่าย มีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน และไม่มีฝ่ายใด ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะร่วมหอลงโรงกับฝ่ายใด ซึ่งคงทำใจไม่ได้ หากต้องร่วมงานกับฝ่ายที่มีประวัติทุจริตจำนำข้าว และล้มเจ้า
แต่หากอยู่เฉยๆ ไม่เลือกฝ่ายใดเลย ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เสียที เศรษฐกิจของประเทศก็จะชะงักงัน เกิดปัญหาซ้อนปัญหาขึ้นมาอีก
ส่วนจะเลือกฝ่าย “ลุงตู่” ก็จะถูกมองว่าร่วมมือกับเผด็จการ ทั้งที่มาถูกต้องตามกติกาในรัฐธรรมนูญ ที่มีคนเห็นชอบกว่า 16 ล้านคน ซึ่งบางคนที่ต่อว่า ก็อาจหลวมตัวลงมติเห็นชอบด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังถูกกระแสโจมตีว่าตระบัดสัตย์ จากการที่ “พี่มาร์ค” เคยประกาศไม่สนับสนุน “ลุงตู่” แม้ “พี่มาร์ค” ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคไปแล้วก็ตาม ซึ่งความจริงแล้ว พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีประชาธิปไตยภายในพรรค การจะตัดสินใจร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ต้องเป็นไปตามมติของที่ประชุมร่วมระหว่าง กรรมการบริหาร และ ส.ส.ของพรรค
แม้แต่ “พี่มาร์ค” หากยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ ก็ไม่อาจทำตามที่ตนประกาศไว้ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่เคยมีมติมาก่อน จึงต้องนำเข้าหารือที่ประชุมพรรค และเมื่อที่ประชุมมีมติเช่นไร พรรคก็จะต้องดำเนินการไปตามนั้น
เมื่อหันมาดูโครงสร้างของที่ประชุมใหญ่ ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายภาคส่วน เช่น ประธานสาขาพรรค, ตัวแทนองค์กรท้องถิ่น, ส.ส.ปัจจุบัน อดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรีของพรรค ฯลฯ ซึ่งแต่ละท่านล้วนมีวุฒิภาวะ และมีที่มาจากประชาชนทั้งสิ้น จึงมีโอกาสรับฟังความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างรอบด้าน แล้วนำเหตุผลมาพิจารณาเพื่อลงมติร่วมกัน ซึ่งในครั้งนี้ ที่ประชุมพรรค ได้มีมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ให้ร่วมรัฐบาลกับ พรรค พปชร.โดยมีเงื่อนไข ขอดูแลนโยบายประกันรายได้เกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวเกษตร และขอให้แก้ไขปลดล๊อครัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
ส่วน “พี่มาร์ค” จึงต้องลาออกจาก ส.ส.ไป ด้วยไม่ยอมรับในมติของพรรคที่ไม่เป็นไปตามที่ได้ประกาศไว้
พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการทุกอย่างบนหลักการ กฎระเบียบ ที่ปฏิบัติต่อเนื่องมานานเช่นนี้ แล้วยังถูกวิจารณ์ว่า “ประชาธิปัตย์ ทรยศต่อประชาชน” จนต้องนึกแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม ผมขอฝากความเห็นพ่วงท้ายถึง ดร.โกร่ง ว่าอยากให้ท่าน หันมาช่วยกันเขียนบทวิจารณ์ เพื่อเตือนสังคมไทย ถึงอันตรายของประชาธิปไตยทุจริต และ แนวทางประชาธิปไตย ที่แฝงไว้ด้วยการดูหมิ่นสถาบันหลักของประเทศ ที่กำลังเป็นข่าว กันดีกว่า
เพราะสิ่งเหล่านี้กำลังจะนำพาประเทศไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ ที่อาจหนักขึ้นกว่าเดิม......
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี