ภาคประชาชนอาเซียนเสนอ14ข้อเรียกร้องที่ประชุมสุดยอดผู้นำเพิ่มเสาหลักสิ่งแวดล้อม ย้ำแก้ปัญหาวิกฤติผลกระทบข้ามพรมแดน
20 มิ.ย.62 เครือข่ายประชาสังคมเตรียมออกแถลงการณ์จำนวน 14 ข้อ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอาเซียน ที่กำลังจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือ ASEAN Summit 2020 ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน ภาคประชาชนเสนอว่า ต้องมีเสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม เป็นเสาหนึ่งในหลักการพัฒนาร่วมกัน เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมนับเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ประชาชนในพื้นที่ต่างเผชิญชะตากรรมจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการพัฒนาพื้นฐานต่างๆ ทั่วภูมิภาค
เนื้อหาสำคัญของแถลงการณ์ระบุว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจต้องไม่ทำลาย หรือทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมทรามลง และไม่บั่นทอนการดำรงชีวิตและสิทธิของประชาชนและชุมชนในท้องถิ่น มีการกระจายและกำกับดูแลการใช้ทรัพยากร เพื่อประกันให้เกิดการเข้าถึงที่เท่าเทียม โดยเฉพาะทรัพยากรที่สำคัญ อย่างเช่น อาหาร ที่ดิน น้ำ และพลังงาน และโดยเฉพาะสำหรับประชาชน/ชุมชนที่มีความเปราะบางด้านเศรษฐกิจและสังคม หลักนิติธรรมเพื่อคุ้มครองประชาชนและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ภาคธุรกิจและบรรษัท และการประกันให้เกิดความยุติธรรมสำหรับคนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มชนชายขอบที่ถูกเอาเปรียบมาตลอดและมีความเปราะบางมากสุด ต้องยกเลิกเงื่อนไขคุ้มครองนักลงทุนในกฎหมายและความตกลงว่าด้วยการค้าและการลงทุน ต้องสามารถเอาผิดทางกฎหมายกับนักลงทุนที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ และมีการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชน อันเป็นผลมาจากโครงการของเหล่านั้น
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.62 เครือข่ายประชาสังคมในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง-อาเซียน ได้จัดเวทีสาธารณะสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตกับผลกระทบจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในอาเซียน ที่ห้องประชุมจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีตัวแทนชาวบ้านจากประเทศมาเลเซีย ไทยกัมพูชา ตัวแทนเครือข่ายประชาสังคมในภูมิภาค นักข่าว นักวิชาการ ประมาณ 80 คนร่วมเวที
เวทีช่วงเช้าเริ่มด้วยการแสดงดนตรีของกลุ่มศิลปินอาเซียนชื่อว่า AMP3 ซึ่งเป็นกลุ่มนักแต่งเพลง นักร้องและนักเขียน ในประเทศอาเซียน โดยได้ร้องเพลงเปิดเวทีเล่าเหตุการการแย่งที่ดินของชนพื้นเมืองในอินโดนีเซียเพื่อการพัฒนาต่างๆ จากนั้น นายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในวันที่ 20 มีการประชุมผู้นำอาเซียน ปี 2020 และเรื่องสำคัญคือ รัฐบาลอาเซียนต้องปรับตัวในการทำงาน ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเหลื่อมล้ำของโลก ต้องเผชิญกับการเปิดกว้าง ต้องทำงานกับภาคธุรกิจ
นายมนตรี จันทวงศ์ กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง กล่าวว่า ความซับซ้อนเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนในภูมิภาคนี้จะมีมากขึ้นทั้งเขื่อนบนน้ำโขงสายหลักและลำน้ำสาขามากขึ้น เดิมปัญหาผลกระทบมาจากเขื่อนในจีนบนแม่น้ำโขงตอนบนที่ขณะนี้มการสร้างเขื่อนเสร็จแล้วจำนวน 9 แห่ง และกักน้ำเก็บน้ำไว้มากกว่า 40,000 ล้าน ลบ.เมตร ผลิตไฟฟ้ามากกว่า 15,000 เมกะวัตต์ การปล่อยน้ำจากเขื่อนจีนในช่วงหน้าแล้งเป็นไปเพื่อการบริหารจัดการเขื่อน เดินเรือและการซ่อมบำรุงรักษา ซึ่งได้ทำส่งผลกระทบด้านระบบนิเวศและการเป็นอยู่ของประชาชนท้ายน้ำ โดยเฉพาะเกิดภาวะน้ำท่วมสูงฤดูน้ำแล้ง พื้นที่เกษตรกรรมริมฝั่งโขงและการท่องเที่ยวตามหาดทรายต้องประสบปัญหาน้ำท่วมมาต่อเนื่องกว่า 20 ปี แม้จะมีงานศึกษาของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เรียกว่า Council study ระบุว่า ผลประโยชน์จากการสร้างเขื่อนทั้ง 12 แห่งของแม่น้ำโขง จะได้ประโยชน์ทางพลังงานเพียง 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และรัฐบาลเจ้าของโครงการจะได้รับผลประโยชน์คืนก็ต่อเมื่อหมดระยเวลาสัมปทานคือ 25 - 30 ปี และจะส่งผลกระทบต่อการประมงของภูมิภาคที่จะทำให้กลุ่มปลาขาวซึ่งเป็นปลาอพยพของลุ่มน้ำอาจจะต้องสูญพันธุ์ และเมื่อปี 2561 ทีผ่านมา ความซับซ้อนของปัญหาผลกระทบข้ามพรมแดนกลับเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีกเนื่องจากภาวะน้ำท่วมจากการปล่อยน้ำของเขื่อนในลำน้ำสาขาในลาว คือเขื่อนน้ำงึม ซึ่งปล่อยน้ำปริมาณ 1,200 ลบ.มต่อวินาที เป็นระยะเวลากว่าสองเดือนและทำให้เกิดภาวะน้ำโขงหนุนสูงและเอ่อท่วมขังเข้ามายังพื้นที่ในประเทศไทย และได้กลายเป็นปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่ประเทศไทย แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องตัวเลขของความเสียหายและต้องใช้งบประมาณของประเทศในการแก้ไขปัญหา
ด้าน น.ส.ธันยา ลี จากองค์กรแม่โขงวอช กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่เขื่อนเซเปียนเซน้ำน้อยว่า ในพื้นที่ใกล้เคียงกับเขื่อนยังมีชาวบ้านกว่า 5,000 คน ที่ถูกโยกย้ายไปโดยบริษัทของเกาหลีมีแผนจะสร้างเขื่อนตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าเรียกว่าไนเฮือน แม้ว่าช่วงทศวรรษนั้นจะไม่สามารถสร้างเขื่อนได้เพราสถานการณ์วิกฤติด้านการเงินจึงชะลอไป ปัจจบันชาวบ้านที่ถูกโยกย้ายดังกล่าวกว่า 3,000 คน ที่ต้องอยู่อาศัยแบบไม่มีน้ำ บ้านไม่มีห้องน้ำและไม่มีโรงเรียน ลูกหลานในชุมชนต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน มีแต่คนแก่ที่อยู่บ้านและหลายคนต้องกลับไปทำมาหากินที่อยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำ
นายซอ ตาโป ตัวแทนจากเครือข่าย Karen River Network กล่าวว่า พม่ากำลังจะผลักดันตัวเองให้เป็นประเทศกำลังพัฒนาและภฺมิภาคอาเซียนพยายามจะผลักดันเป็นภูมิภาคแห่งการพัฒนา จึงมีการส่งเสริมการพัฒนาต่างๆ มากมาย พม่าเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในภาวะความยากจนและมีความขัดแย้งกันยาวนานแห่งหนึ่ง พื้นที่ของเราเป็นพื้นที่ขัดแย้งที่ยาวนานที่สุด ในปี 2012 มีการทำสัญญาหยุดยิงและสันติภาพ มีการพัฒนากระบวนสันติภาพ จึงมีตัวแทนสากลต่างๆ ทั้งรัฐบาลและเอกชนเข้ามาสนับกระบวนการและช่วยเหลือการพัฒนาต่างมากมายๆ เมื่อกล่าววถึงการพัฒนา พลังงานเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญมาก ในพื้นที่รัฐกระแหรี่ยง แต่ก่อนมีเขื่อนน้อย แต่หลังจากสัญญาหยุดยิงและกระบวนการสันติภาพ กลับมีการเสนอเขื่อนใหม่อีก 8 แห่ง และมีการเสนอการสร้างทางหลวง เขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม โรงงานปูนซีเมนต์ และมีการขอใช้อีก 11 ภูเขาที่จะทำโรงงานปูนซีเมนต์ โดยมีการทำเหมืองหินและการดูดทราย รวมถึงโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นเช่นนี้ทั่วประเทศ ขณะนี้ในพม่ามีหลายหน่วยงานที่พยายามเข้ามาร่วมการจัดทำนนโยบายด้านพลังงาน เช่น ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ธนาคารโลก แต่ละหน่วยงานก็มีการประเมินตัวเลขด้านพลังงานที่ต่างกัน และพบว่า ไฟฟ้าทั้งหมดจะขายให้กับไทย แต่เป็นได้ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์และความปลอดภัยของระบบสายส่ง เนื่องจากหลายพื้นที่ยังมีความขัดแย้ง ที่สำคัญพม่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านการผลิตพลังงานหมุนเวียนมากที่สุด ทั้งแดด ลมตามชายฝั่ง แต่นโยบายไม่เปิดให้มีการลงทุนด้านนี้ รัฐบาลไม่เปิดให้มีการถกเถียง ข้อเสนอคือ ต้องพูดเรื่องสันติภาพก่อนการพัฒนา การจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดนทั้งไทยและจีน ต้องมีการทบทวนข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการต่างๆ และต้องมีการให้ความสำคัญกับการใช้ไฟฟ้านอกระบบให้ได้
น.ส.พรพนา ก๊วยเจริญ ตัวแทนกลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน หรือ Land Watch กล่าวว่า สถานการณ์ด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เป็นแนวคิดมาจากธนาคารพัฒนาเอเชีย และที่ผ่านมามีการสร้างถนนจนแล้วเสร็จเชื่อมโยงในภุมิภาค จากการศึกษาของกลุ่มพบว่า การเชื่อมโยงกันในภูมิภาค 10 ปีที่ผ่านมา ถนนโครงสร้างพื้นฐานได้เสร็จหมดแล้ว ในแผนของ ปัจจุบันมีการนับรวมเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 5 ประเทศ มีถึง 91 แห่ง
นายอุบล อยู่หว้า ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมที่ยั่งยืน กล่าวว่า ภูมิภาคอาเซียน กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและระบบอาหารถูกควบคุมโดยอุตสาหกรรม ซึ่งมีความรุนแรงในลาวและกัมพูชาคือ การให้สัมปทานที่ดิน การให้สัมปทานจับปลาในทะเลสาบ ในลาวมีการสัมปทานป่าไม้ และต่อมาก็ตัดไม้ติ้วเพื่อไปทำถ่าน ขายให้คนเกาหลีเพื่อส่งออกพี่น้องลาวจำนวนมากเป็นชนเผ่าที่ดำรงชีพกับฐานทรัพยากร เขาปลูกข้าวและเก็บหาทรัพยากร เป้นแบบเก็บหาจากธรรมชาติ
นายฮาฟิซูดิน นาซารูดิน ประธานเครือข่ายกลุ่มนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อมในพื้นที่คาบสมุทรมาเลเซีย และสมาชิกสมาคมนักกรรมสิ่งแวดล้อมมาเลเซีย กล่าวว่ารัฐบาลมาเลเซียได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนได้เข้าใช้พื้นที่นับแต่ป่าชายเลนที่อยู่ติด ป่าโกงกางที่มีการใช้พื้นที่เพื่อการทำนากุ้งเป็นจำนวนมาก ส่วนในพื้นที่เขตภูเขาเพื่อการสัมปทานไม้ การทำเหมืองแร่ การใช้พื้นที่เพื่อการสร้างเขื่อน การปลูกปาล์มและการปลูกทุเรียน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชนพื้นเมืองในพื้นที่ตอนใต้ โดยเฉพาะรัฐกะลันตันที่อยู่ติดกับชายแดนของไทย ซึ่งผลกระทบต่อที่ดินและที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองอย่างหนัก หลายพื้นที่มีการย้ายชนพื้นเมืองออกมาจากที่อยู่ดั้งเดิม ทำให้ชาวบ้านซึ่งมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์จากป่า รัฐกะลันตัน เปนพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนมาก พื้นที่ป่าเพื่อทำไม้ ข้อกังวลคือผลกระทบต่อสัตว์ป่าและชนพื้นเมือง เพราะทำให้การใช้น้ำและอาหารจากป่าลดลงไปมาก การสัมปทานป่าไม้อยู่ใกล้กับพื้นที่ฝังศพทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง เมื่อป่าหายไปวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองก็หายไป ในพื้นที่อพยพของชนพื้นเมืองมีปัญหาเรื่องสุขภาพ การขาดสารอาหารของเด็ก เดิมแม้เด็กๆ จะอยู่ในป่าก็ไม่ได้มีปัญหา แต่เมื่อไม่มีทรัพยากรจากป่าแล้ว อาหารก็ลดลงและดินก็มีการปนเปื้อน น้ำก็ปนเปื้อน พบว่า ที่ผ่านมามากว่า 14 คน ที่ตายเพราะขาดสารอาหาร ล่าสุด นายกรัฐมนตรีพึ่งประกาศว่า ชนพื้นเมืองจะต้องย้ายออกมาจากป่าเนื่องจากโรคระบาด แต่ชาวบ้านเชื่อว่ารัฐบาลจะเอาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชายขอบสุดๆ ออกจากพื้นที่ป่าทั้งหมดเพื่อจะให้มีการสัมปทานเพื่อโครงการพัฒนาต่างๆ ในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี