“อนค.” รุมถล่ม “แผนปฏิรูป” รังสิมันต์ ซัด เป็นแค่แผน “โฆษณาชวนเชื่อ” ชี้กฎหมายส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของ “คสช.” พิจารณ์ ชี้แผนปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ล่าช้า-ตัวชี้วัดไร้ประสิทธิภาพ-ใช้งบประมาณน่าเคลือบแคลง
27 มิ.ย. 62 ที่หอประชุมทีโอที ถ.แจ้งวัฒนะ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานที่ประชุม โดยมีวาระพิจารณารับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มกราคม - มีนาคม 2562) ต่อเนื่องจากการประชุมเมื่อวานนี้ (26 มิถุนายน)
โดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า จากการอ่านรายงานความคืบหน้า พบว่า มีความสวยหรูดูดี แต่ไม่ได้สะท้อนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในเรื่องของกฎหมาย รายงานฉบับนี้ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคหลายฉบับ แต่ทว่าภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการออกประกาศและคำสั่งต่างๆมากมาย เช่นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาปิดปากประชาชนมากขึ้น, การออก พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่สร้างกฎเกณฑ์และความหวาดกลัวให้กับผู้ต้องการแสดงออกทางการเมือง, การออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ให้ทหารค้นเคหะสถานหรือควบคุมตัวได้ 7 วันโดยไม่ต้องมีหมายศาล
"การออกคำสั่งอีกหลายคำสั่งที่มีผล กระทบในด้านอื่นๆ เช่น การยกเว้นกฎหมายผังเมืองเพื่ออนุญาตให้สร้างโรงงานบางประเภท ลัดขั้นตอนประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, การให้อำนาจ กสทช.ควบคุมเนื้อหาและสั่งลงโทษสื่อมวลชน, การออกคำสั่งยืดหนี้ค่ายมือถือแบบไม่มีดอกเบี้ยนานถึงสิบปี, การออกคำสั่งทวงคืนผืนป่า จนมีประชาชนชาวบ้านถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งๆที่อาศัยอยู่มาก่อนจะมีอุทยานแห่งชาติ, ไม่นับรวมการออกคำสั่งปิดเหมืองทองที่ สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่ออกโดย พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกโดย สนช.ซึ่งเป็นสภาตรายาง แต่ไม่มีเรื่องเหล่านี้ในรายงานฉบับนี้เลย” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในส่วนของความยุติธรรม แม้ในรายงานจะระบุถึงความคืบหน้าด้านการปรับปรุงให้สถานีตำรวจต้องรับแจ้งความทุกท้องที่, ห้ามนำผู้ต้องหาออกแถลงข่าว, ให้มีทนายความประจำทุกสถานีตำรวจ, ให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวในวันหยุดราชการ แต่กลับไม่มีการพูดถึงคดีในศาลทหารที่ จับกุม พิจารณาดี และพิพากษาเองโดยทหารทั้งหมดเลย วันนี้ จากข้อมูลของไอลอว์ ยังคงมีคดีพิจารณาอยู่ในศาลทหารถึง 1,723 คดี และยังมีปัญหาจากกระบวนการยุติธรรมภายใต้ คสช.อีกเป็นจำนวนมาก เราจะทำอย่างไรกับประชาชนที่ต้องกลายเป็นจำเลยจากกฎหมายของ คสช. เช่น ชาวบ้านเทพาที่ต้องเป็นจำเลยจากการคัดค้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือการที่นักกิจกรรมที่อยู่ตรงข้ามของ คสช. ถูกทำร้ายร่างกายอย่างเป็นระบบ และการที่ชนกลุ่มน้อยที่ถูกทหารวิสามัญฆาตกรรมหน้ากล้องวงจรปิดที่ภาพหายไป
“ปัญหาของกระบวนการยุติรรมไทยคือการใช้เป็นเครื่องมือจากผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้เล่นงานกลุ่มตรงข้าม รายงานฉบับนี้จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่การปฏิรูป เป็นแค่การปรับปรุง ปรุงแต่งเท่านั้น ในฐานะนักกฎหมายเราต่างรู้ว่าการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนต้องได้รับ แต่รายงานนี้เอามาโฆษณาว่าเป็นการปฏิรูปแล้ว อย่าเอาความไม่สะดวกของราชการมาบอกว่านี่เป็นความสำเร็จแล้ว ปล่อยให้คนจำนวนมากต้องถูกขังในวันเสาร์อาทิตย์ตอนที่ท่านอยู่บ้านดูทีวีหรือทำอย่างอื่น นี่ไม่ใช่การปฏิรูป
นายรังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติ่มว่า สำหรับในด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ แม้จะมีการโฆษณาว่า ต้องการให้ประชาชนรังเกียจการทุจริต แต่เมื่อมีประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องการตรวจสอบการทุจริต กลับถูกจับกุมดำเนินคดี เช่นในกรณีการเดินทางไปตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ด้วยรถไฟ นี่ยังไม่รวมถึงการตีแผ่การทุจริตของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา กรณีตั้งธุรกิจในค่ายทหาร ที่ไม่มีการดำเนินการใดๆต่อ หรือกรณีนาฬิกา 22 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ไม่สามารถทำอะไรต่อได้ มากไปกว่านั้น เราจะพบว่าการตรวจสอบคอรัปชั่นโดยองค์กรภาครัฐ ไม่ว่า คดีไหนจะออกมามีลักษณะเหมือนกันหมด คือโปร่งใสไม่มีความทุจริต ในสภาวะที่ คสช.ออกมาให้คุณให้โทษกับองค์กรตรวจสอบเหล่านี้ได้หมด แล้วทุกวันนี้หลายคนก็ได้เป็น ส.ว.กันถ้วนหน้า
“ถ้าการปฏิรูปเหมือนการรีโนเวทบ้าน แต่บ้านเรามีขยะเน่าเหม็นเต็มไปหมด การคุยว่าจะเอาของหรูๆเฟอร์นิเจอร์สวยๆมาลง แต่ไม่คิดจะอุดรุรั่วบนหลังคา เราจะเรียกว่านี่เป็นการรีโนเวทได้อย่างไร เช่นเดียวกับการปฏิรูปด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ถ้าเราไม่จัดการกับสิ่งที่ คสช.ทำมาในอดีต เราจะเรียกมันว่าการปฏิรูปไม่ได้เลย” นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน นายพิจารณ์ เชาว์พัฒนวงศ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายรายงานว่า ในแผนการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ หากย้อนไปดูจะพบว่ามี 423 หน้า เขียนครอบคลุมหลายมิติ มีโครงการร่วม 50 โครงการ และเมื่อพิจารณาควบคู่กับรายงานความคืบหน้าที่ได้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ตนมีข้อห่วงใยที่อยากฝากไปยังคณะรัฐมนตรีและคณะทำงาน 3 ข้อ นั่นคือ 1. ความล่าช้า 2. ความล่าช้า และ 3.ความล่าช้า
นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า ในรายงานความคืบหน้านี้ เมื่อหยิบยกโครงการที่เรียกว่าสำคัญเร่งด่วนหรือควิกวินมาพิจารณา พบว่า 1.โครงการจัดตั้งสำนักงานบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจนและเหลื่อมล้ำ ที่ระบุว่าต้องให้แล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 61 ก็มีความล่าช้า แต่ตอนนี้ตั้งเสร็จแล้ว โดยสำนักงานนี้ต้องมีการพยายามขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ พร้อมกับหน่วยงานอื่นๆของรัฐ โดยมีดัชนีความสุขและรายได้ต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งตามรายงานเพิ่มขึ้น 0.01 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าเพิ่มหรือไม่ การตั้งดัชนีแบบนี้ไม่มีความหมาย เราต้องตั้งเป้าหมายว่าควรอยู่ที่เท่าไหร่ นอกจากนี้ดัชนีตัวจำนวนชุมชนที่เข้มแข็งเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ทราบว่าวัดอย่างไรและเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ทั้งนี้ งบประมาณโครงการนี้ 2 พันล้านบาท แต่ล่าสุด ในรายงานความคืบหน้าครั้งนี้ไม่ระบุงบประมาณแล้ว
2.โครงการปรับสถานภาพวิสาหกิจชุมชนให้เป็นนิติบุคคล ซึ่งแผนตั้งต้นชื่อว่าโครงการพัฒนาธุรกิจชุมชน วงเงิน 2.5 พันล้านบาท เขียนเป้าหมาย 5 เป้าหมาย คือ 1.เครือข่ายธุรกิจชุมชนสินค้าทั่วประเทศ 2.อีคอมเมิส เซ็นเตอร์ทุกภาค 3. อี คอมเมิส แพลทฟอร์ม 4. เซ็นเตอร์ เอกเซอร์เลนซ์ และ 5 มีสถาบันการเงินในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏซึ่งความคืบหน้าในรายงานเลย ทั้งกรอบกำหนดไว้ 12 เดือน
3.โครงการปฏิรูปกฎหมายที่ล้าหลังและไม่จำเป็น การแก้ไขกฎหมายนั้นเป็นการเพิ่มขีดความสามารถดำเนินธุรกิจและการแข่งขันได้ เช่น ในเกาหลีใต้ ปี 2540 แก้ไขกฎหมาย 11,000 ฉบับ ใช้ระยะเวลา 1 ปี ทำเรื่องนี้ทำให้พัฒนาประเทศ แต่แผนปฏิรูปของเราตั้งไว้ 5 ปี ซึ่งผ่านไปแล้ว 1 ปี ยังไปไม่ถึงไหน ล่าสุดเพิ่งมีการจ้างทีดีอาร์ไอมาเป็นผู้ดำเนินการ
4.การส่งเสริมใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับเกษตรกร หรือ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง มีการพัฒนาแอพลิเคชันที่เรียกว่า อะกรี แมพ ซึ่งเมื่อดาวน์โหลดไปเล่นแล้วก็พบว่ายังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แต่ที่น่าเคลือบแคลงคืองบประมาณที่ใช้นั้น ไม่มีระบุว่าเป็นเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมาก เราทราบดีว่าปีที่ผ่านมา คสช. 1 ใช้เงินกว่า 140,000 ล้านบาท สนับสนุนราคาพืชผลการเกษตร ซึ่งโครงการลักษณะนี้จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนสมรรถภาพเกษตรกร ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดความเสี่ยงต่างๆได้ จึงอยากพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียด รอบคอบ และจริงใจต่อประชาชน
“ทั้งหมดนี้คือความล่าช้า คือการกำหนดตัวชี้วัดที่ไม่มีประสิทธิภาพ คือการกำหนดวงเงินงบประมาณไม่ชัดเจน มีความเคลือบแคลง ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดของแผนปฏิรูปในด้านเศรษฐกิจ ผมมองเห็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในแผนนี้ คือ ถ้าเราต้องการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นของตัวเอง หมดเวลาแล้วกับการดึงนักลงทุนต่างชาติมาลงทุน หมดเวลาแล้วกับการใช้ค่าแรงที่ต่ำๆในการทำธุรกิจ ภายใต้แผนการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจฉบับนี้มีโครงการที่จะให้เกิดระบบนิเวศน์การวิจัยและพัฒนาก็จริง แต่เมื่อไปดูแล้วยังไม่มีรายละเอียดความคืบหน้าใดๆ จึงอยากฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พรรคอนาคตใหม่พูดลายครั้งเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เช่น เราพูดถึงไฮเปอร์ลูป ซึ่งหากเราจะก้าวข้ามประเทศอื่น เราต้องไปสู่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ประเทศอื่นพัฒนาวิจัยไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่เราจะแข่งขันได้ ดังนั้น เราต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เป็นของเราเอง” นายพิจารณ์ กล่าว
นายพิจารณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาความยากจน เหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาระดับชาติ อยากวิงวอนให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามา แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โปรดคิดถึงปัญหาของพี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย คนฐานรากสังคม ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ปรากฏในโซเชียลมีเดียหลายที่ว่าเลือกอนาคตใหม่ทำไมได้อนาคตเก่า ดังนั้น ถ้าคณะรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นนี้ทำไม่ได้ รอบหน้าตนขอเข้าจะขอทำงานส่วนนี้เอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี