คุก‘เชาวรินธร์’2ปี
ฎีกาตัดสินไม่รอลงอาญา
ฉ้อโกงนักธุรกิจเขมร11ล.
ปมซื้อสินค้าปูนซีเมนต์
กลับโอนเงินเข้ากระเป๋า
ศาลสั่งชดใช้คืนทั้งหมด
ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 2 ปี “สากกะเบือ” ร.ต.ท.เชาวรินธร์ โดยไม่รอลงอาญา คดีฉ้อโกงเงิน 11 ล้าน สั่งซื้อปูนซีเมนต์บริษัทกัมพูชา แต่โอนเข้ากระเป๋า ศาลสั่งชดใช้คืนเงิน 11 ล้านด้วย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาหมายเลขดำ อ.639/2558 ให้จำคุก ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ อายุ 72 ปี อดีตรมช.ศึกษาธิการ และอดีตสส.ราชบุรี พรรคเพื่อไทย เป็นเวลา 2 ปี ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และให้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 11 ล้านบาท
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 โจทก์ และบริษัท บี.พี.ซี เทรดดิ้ง จำกัด (ประเทศกัมพูชา) โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2558 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2557 บริษัท บี.พี.ซี.เทรดดิ้ง จำกัด (ประเทศกัมพูชา) ได้สั่งซื้อสินค้าจำพวกปูนซิเมนต์ จากบริษัท ทีพีไอโพลีนพับบลิค จำกัด (ประเทศไทย) โดยทำใบสั่งซื้อส่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ในลักษณะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล ซึ่งบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ ได้ออกหลักฐานใบสำคัญเก็บเงินค่าสินค้าแจ้งให้บริษัท บี.พี.ซี.ฯ โอนเงินค่าสินค้าจำนวน 352,781 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 11,428,308.40 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารทหารไทย จำกัด ของบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ
ต่อมาระหว่างวันที่ 6 - 9 พ.ค. 2557 จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลใบสำคัญเก็บสินค้าเสียใหม่ เป็นว่าให้บริษัท บี.พี.ซี.ฯ โอนเงินค่าซื้อปูนซิเมนต์ จำนวน 11,428,308.40 บาท ผ่านเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภา ชื่อ Thai and Chinese Bhuddhist Culture หรือสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทย-จีน ที่มีจำเลยเป็นนายกสมาคมฯ โดยทุจริต ซึ่งเป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จนทำให้บริษัท บี.พี.ซี.ฯ ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นบัญชีของบริษัท ทีพีไอโพลีนฯ ผู้เสียหายที่ 2 แล้วโอนเงินค่าเข้าบัญชีเงินฝากโดยที่บัญชีดังกล่าวเป็นของจำเลยกับพวก ก่อนที่จำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของตัวเองโดยทุจริต เหตุเกิดขึ้นที่แขวง-เขตดุสิต กทม.และที่อื่นๆ เกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2559 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญาฯ มาตรา 352 วรรคสอง และให้จำเลยคืนเงินค่าสินค้า จำนวน11,428,308.40 บาท แก่บริษัทโจทก์ร่วมด้วย จำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องด้วย
กระทั่งวันที่ 24 ส.ค.2560 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า การที่จำเลยแก้ไขข้อมูลบัญชีธนาคารอันเป็นเท็จ แม้ในทางนำสืบโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานหลักฐานที่บ่งชี้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยในฐานะนายกสมาคมฯ เจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าว เป็นผู้เข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือข้อความผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้บุคคลอื่นดำเนินการแก้ไขนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลในส่วนของบัญชีธนาคารอันเป็นเท็จ แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำความผิดที่เป็นการนำข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) นั้น ผู้กระทำผิดสามารถกระทำได้ในที่ลับหรือกระทำในที่ใดก็ได้โดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จึงเป็นการยากแก่การหาประจักษ์พยานมายืนยันการกระทำความผิดได้ จึงต้องวินิจฉัยคดีจากพยานแวดล้อม รวมทั้งพฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดี
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากโจทก์ร่วมโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวแล้ว วันรุ่งขี้นจำเลยได้ถอนเงินออกไปจากบัญชีทั้งหมด โดยมีการโอนเงิน 10,742,600 บาท เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย ฯสาขาสีลม ของบุคคลหนึ่ง โดยอ้างว่าเพื่อชำระหนี้เงินกู้และค่าสั่งซื้อไวน์ 42,600 บาท กับโอนเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย เป็นเงิน 685,708.40 บาท โดยอ้างว่าเพื่อใช้หนี้ที่จำเลยใช้เงินส่วนตัวสำรองจ่ายในการก่อสร้างรูปเคารพพระแม่โพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม แต่การเบิกถอนและยักย้ายเงินดังกล่าว จำเลยอ้างว่าเป็นเงินบริจาคนั้น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยแทบทั้งสิ้น และเมื่อจำเลยโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวแล้ว จำเลยได้ถอนเงินที่ธนาคารกรุงไทย สาขาศรีย่าน จำนวน 6 แสนบาทถ้วน เนื่องจากไม่สามารถถอนเงินจากธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภา ได้เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการ ส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำโดยเร่งรีบ เพื่อยักย้ายเงินออกไปจากบัญชี ผิดปกติวิสัยในการจัดการเงินบริจาค นอกจากนี้ที่จำเลยอ้างว่า สาเหตุที่รีบโอนเงินให้บุคคลอื่นเป็นการชำระหนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเยอะ แม้จำเลยจะมีสำเนาสัญญากู้ยืมเงินมาแสดงต่อศาล แต่ไม่มีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเบิกความว่ามีหนี้ต่อกันจริง จึงเป็นการง่ายต่อการกล่าวอ้าง และที่จำเลยอ้างว่ามีบริษัท เฮงซกเฮง จำกัด (ประเทศกัมพูชา)เป็นผู้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีสมาคมฯ เพื่อบริจาคในการสร้างรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิม ก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ดังนั้นคดีนี้แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะไม่มีประจักษ์พยาน แต่ตามพยานแวดล้อมที่นำสืบกันมาประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อมโยงกันมีน้ำหนัก เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงให้โจทก์ร่วมโอนเงินค่าสินค้าเข้าบัญชีเงินฝากดังกล่าว แล้วจำเลยก็รีบถอนเงินออกไปเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และข้อหาฉ้อโกง ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องในข้อหานี้แต่ลงโทษในข้อหายักยอกทรัพย์นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด จำคุกจำเลย 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่จอลงอาญาและให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้เสียหายด้วยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยยื่นฎีกา ขอให้ศาลยกฟ้อง และได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาคดีเป็นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท
โดยในวันนี้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เจ้าของฉายา”สส.สากกระเบือ”เดินทางมาศาลพร้อมภรรยา ลูก ทนายความและบุคคลใกล้ชิดที่ติดตามมาให้กำลังใจ
ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเป็นไปตามกฎหมาย และ บจก.บี.พี.ซี.เทรดดิ้ง โจทก์ร่วม เป็นผู้เสียหายซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนแล้ว ฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งในประเด็นดังกล่าว ไม่อาจทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนจำคุกจำเลย 2 ปี และให้คืนเงินจำนวน 11,428,308.40 บาท แก่บริษัทโจทก์ร่วมด้วย
ด้าน ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เปิดเผยสั้นๆ ภายหลังศาลฎีกาพิพากษาว่า ตนมีความเคารพคำพิพากษาของศาล แต่ส่วนตัวยืนยันว่า ไม่ได้ฉ้อโกง เพราะตนเคย เป็นส.ส.และรัฐมนตรีหลายสมัย กรณีนี้ตนเพียงแต่ทำหน้าที่รับโอนเงินเพื่อจะจัดสร้างองค์เจ้าแม่กวนอิม ที่ตนมีตำแหน่งนายกสมาคมฯอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้ฉ้อโกงแต่อย่างใด
จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวจำเลยไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา หลังคดีถึงที่สุดแล้ว เพื่อรับโทษต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี