เมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2562 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจ - สังคม
1. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และกรอบแนวทางการพัฒนาการให้บริการเบ็ดเสร็จของภาครัฐ: สถาปัตยกรรมระบบและการเชื่อมโยงข้อมูล (Government One Stop Service Development Framework: System Architecture and Data Linkage) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ และให้ ดศ. ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในการขับเคลื่อนศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้ ดศ. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) สรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 โดยที่ประชุมให้ศึกษาหลักการด้านการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลผ่านเอกสารศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service Center: OSS Center) เพื่อวางแผนทิศทางขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Roadmap) และแนวทางการพัฒนาศูนย์บริการเบ็ดเสร็จเพื่อยกระดับบริการของหน่วยงานภาครัฐไปสู่รูปแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมอำนวยความสะดวกและสร้างความพึงพอใจกับประชาชนโดยต้องเป็นหลักการที่เป็นจริงได้และครบทุกมิติ ซึ่งได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นผู้กำกับดูแล และให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมร่วมกันในรูปแบบคณะทำงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) นัดหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมเพื่อร่วมกันจัดทำร่างแผนทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลด้านศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ คณะทำงานได้มีการประชุมทั้งสิ้นจำนวน 9 ครั้ง เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว และการจัดทำกรอบแนวทางการพัฒนาการให้บริการเบ็ดเสร็จของภาครัฐอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือนสิงหาคม 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562
2. กรอบแนวทางการพัฒนาการให้บริการเบ็ดเสร็จของภาครัฐ: สถาปัตยกรรมระบบและการเชื่อมโยงข้อมูล (Government One Stop Service Development Framework: System Architecture and Data Linkage) ดศ. ได้หารือแนวทางการพัฒนาการให้บริการเบ็ดเสร็จของภาครัฐร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการจัดทำกรอบแนวทางฯ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 3 ส่วน ดังนี้
2.1 การจัดลำดับความสำคัญของบริการเพื่อพัฒนาระบบนำร่องบริการแบบเบ็ดเสร็จ ได้แบ่งระดับความพร้อมของการพัฒนาเป็น 4 ระดับ ได้แก่
2.1.1 การนำบริการแบบดั้งเดิมของหลายหน่วยงานมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน
2.1.2 เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการมีอำนาจดำเนินการให้กับหลายหน่วยงานได้
2.1.3 บริการในรูปแบบ “ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์”
2.1.4 บริการแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบผ่านช่องทางดิจิทัล
ทั้งนี้ การจัดระดับความพร้อมด้านการให้บริการจะเอื้อต่อการตัดสินใจคัดเลือกบริการนำร่องที่เหมาะสมและเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) และ สพร. ได้วิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมการให้บริการของภาครัฐในปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลคู่มือประชาชนบนเว็บไซต์ www.info.go.th ซึ่งสรุปภาพรวมการให้บริการจำนวน 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ บริการของภาคธุรกิจและบริการของภาคประชาชน สรุปได้ดังนี้
หน่วย : กระบวนงาน
|
กลุ่มเป้าหมาย/หมวดหมู่ |
ระดับความสำคัญ |
|||
บริการทั่วไป |
บริการที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ/สังคม |
ไม่ระบุ |
รวม |
||
1 |
ธุรกิจ |
3,945 |
102 |
|
4,047 |
2 |
ประชาชน |
794 |
117 |
299 |
1,210 |
|
รวม |
4,739 |
219 |
299 |
5,257 |
การจัดระดับความพร้อมของบริการ เพื่อคัดเลือกกลุ่มบริการนำร่องที่เหมาะสมสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ความพร้อมในการพัฒนาบริการโดยดูจากหน่วยงานที่มีระบบฐานข้อมูลอยู่แล้วสามารถให้บริการผ่านระบบสารสนเทศได้ มีการเชื่อมโยงเอกสารบริการผ่านระบบสารสนเทศเป็นสัดส่วนที่สูง รวมทั้งมีกระบวนการของบริการไม่ซับซ้อน มีจำนวนหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องไม่มากนัก และไม่ติดข้อจำกัดด้านกฎหมาย และ (2) ผลกระทบของบริการต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเลือกจากบริการที่มีปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยต่อเดือนสูง ใช้ระยะเวลาดำเนินธุรกรรมนาน และถูกจัดกลุ่มให้เป็นบริการที่มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.พ.ร. และสามารถให้บริการได้ทั่วประเทศ
เป้าหมายหลักของการเลือกบริการเพื่อพัฒนาระบบนำร่องคือ (1) การลดค่าเวลาเฉลี่ยในการรับบริการได้อย่างเป็นรูปธรรมคิดเป็นมูลค่าได้โดยประหยัดงบประมาณรัฐ ประหยัดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางมารับบริการ และ (2) เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการของประชาชนโดยพัฒนาการยื่นเรื่องที่เดียวได้หลายหน่วยงาน และสามารถติดตามผลของคำขอได้อย่างสะดวกผ่านอินเทอร์เน็ต
2.2 กรอบแนวทางการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับบริการแบบเบ็ดเสร็จ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องมีการเชื่อมโยงเอกสารข้อมูล และกระบวนงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ กรอบแนวคิดการบูรณาการข้อมูลภาครัฐเพื่อการให้บริการ จำแนกได้เป็น 6 มิติ ได้แก่
2.2.1 การพัฒนาบุคลากรภาครัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมของนักวิเคราะห์กระบวนงาน วิศวกรซอฟท์แวร์ และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ เพื่อให้การบริการเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิผล การพัฒนาหรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซนเตอร์/คลาวด์ เพื่อการประมวลผลที่เหมาะสมมีประสิทธิผลในการใช้งาน ทั้งในมิติด้านความต่อเนื่องของบริการ การรักษาความปลอดภัย และการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเอกสารและข้อมูล อย่างเป็นระบบ
2.2.2 การส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐสามารถกำกับดูแลข้อมูลของตน ให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ และทันสมัย รวมทั้งพร้อมใช้งาน โดยมีการกำกับดูแลความปลอดภัยของข้อมูลให้ได้มาตรฐานตามชั้นความลับ เพื่อให้การบริการเอกสาร/ข้อมูลเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
2.2.3 การพัฒนาระบบรายการข้อมูลและฟอร์มบริการภาครัฐ โดยรวบรวมรายละเอียดของเอกสาร/ข้อมูล และคำอธิบายกระบวนงานสำหรับบริการสำคัญของหน่วยงานภาครัฐ จากนั้นพัฒนาระบบบริหารจัดการฟอร์มบริการและกลไกการสืบค้นที่เหมาะสม
2.2.4 การพัฒนาระบบสารสนเทศร่วมเพื่อบริหารจัดการการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเอกสาร/ข้อมูล สำหรับการให้บริการประชาชนแบบ One Stop Services ของหน่วยงานภาครัฐ มีบริการพื้นฐาน เช่น การยืนยันตัวตน การจำกัดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล บริการส่งเอกสาร/ข้อมูลข้ามหน่วยงานผ่านระบบสารสนเทศ บริการการจัดการกระบวนงานผ่านระบบสารสนเทศ บันทึกธุรกรรม การเข้าถึงข้อมูลเพื่อเป็นหลักฐาน รวมถึงการออกแบบเครื่องมือต่าง ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐต้องใช้ในการกำกับดูแลและให้บริการข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ
2.2.5 การศึกษากระบวนการกฎหมาย/กฎกระทรวง/พระราชบัญญัติ เช่น กฎหมายว่าด้วยคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อออกแบบแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเอื้อต่อการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ
2.2.6 การกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและเป็นแบบเปิด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวของกรอบการพัฒนาบริการเบ็ดเสร็จ โดยการที่หน่วยงานของรัฐทุกแห่งมีศักยภาพในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งสามารถให้ความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส
2.3 สถาปัตยกรรมระบบการให้บริการเบ็ดเสร็จ การออกแบบสถาปัตยกรรมต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัย การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และต้องเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิด มีความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดติดกับเทคโนโลยี และพร้อมขยายขนาดให้มีระดับการให้บริการที่สูงได้ โดยการบูรณาการระบบงาน กระบวนงาน และการต่อเชื่อมเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แบบ 1 ต่อ 1 โดยแบ่งประเภทบริการเป็น 3 ระดับ คือ
2.3.1 พอร์ทัลบริการ (Service Portal) คือระบบดิจิทัลให้ผู้ขอรับบริการสามารถยื่นคำขอเพื่อขอรับบริการต่าง ๆ ของรัฐและสามารถติดตาม/ได้รับ/แจ้งเตือนความคืบหน้าในการอนุมัติ/อนุญาต รวมถึงงานบริการบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานสามารถยื่นเรื่องเป็นคำขอเดียว โดยข้อมูลที่ยื่นผ่านระบบนี้จะถูกส่งต่อไปยังศูนย์เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อดึงเอกสารแนบต่าง ๆ โดยประชาชนไม่ต้องนำเอกสารที่ออกโดยภาครัฐมายื่น ซึ่งปัจจุบันมีระบบพอร์ทัลเพื่อให้บริการแก่ภาคธุรกิจชื่อว่า “Biz Portal” และวางแผนจะให้บริการแก่ประชาชนในบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการรับชำระค่าธรรมเนียมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบการออกใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์
2.3.2 ศูนย์เชื่อมโยง (Linkage Center) มีหน้าที่หลักในการเชื่อมโยงเอกสาร/ข้อมูล และเชื่อมโยงกระบวนงานกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้พอร์ทัลบริการสามารถจัดการคำขอได้โดยสะดวก ทั้งนี้ ปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลแล้ว 2 หน่วยงาน ได้แก่ (1) ระบบ Data Linkage ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) เชื่อมโยงข้อมูลโดยเลขประจำตัว 13 หลักของบัตรประชาชนและข้อมูลทะเบียนราษฎร์รองรับการยืนยันตัวตนและ (2) ระบบข้อมูลการนำเข้าส่งออกเบ็ดเสร็จ (National Single Window: NSW) ของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (กค.) เชื่อมโยงข้อมูลนำเข้า/ส่งออกโดยใช้บริการยืนยันตัวบุคคลของกรมการปกครอง และปรับปรุงเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาบริการ
ในอนาคตรัฐบาลอาจมีระบบ Linkage เพิ่มขึ้นเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้ครบทุกบริการ เช่น ระบบ Government Data Exchange (GDX) เชื่อมโยงข้อมูล/เอกสารด้านธุรกิจนอกเหนือจากเรื่องนำเข้า/ส่งออก
2.3.3 หน่วยงานบริการภาครัฐ (Government Service Agency) หน่วยงานรับผิดชอบด้านการให้บริการจดแจ้ง ขอใบอนุญาตและธุรกรรมภาครัฐแก่ประชาชนแบบดั้งเดิม (ส่วนมากไม่เป็นบริการแบบเบ็ดเสร็จ) ซึ่งมีจำนวนมากและใช้เทคโนโลยี/วิธีการทำงาน/จัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลแตกต่างกัน ทำให้บูรณาการกระบวนงานข้ามหน่วยงานยาก ศูนย์เชื่อมโยงควรบูรณาการในระดับเอกสาร/ข้อมูลในเบื้องต้น หน่วยงานสามารถเข้าร่วมการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จได้โดยจัดเตรียมระบบเชื่อมข้อมูลแยกจากฐานข้อมูลหลักและพัฒนาเครื่องมือเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐสามารถรับธุรกรรมการขอรับบริการรายวันผ่านระบบของศูนย์เชื่อมโยง และดำเนินการตามกระบวนการปกติเมื่อเสร็จสิ้นสามารถแจ้งผลกลับไปยังศูนย์เชื่อมโยง
สถาปัตยกรรมการบูรณาการเอกสาร/ข้อมูลและกระบวนงานนี้ช่วยส่งเสริมการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Government Data) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและการออกแบบนโยบายของรัฐให้ตรงกับสภาวการณ์และความต้องการของประชาชน รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐอีกทางหนึ่งด้วย
ต่างประเทศ
2. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสาร 19 ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ทั้งนี้ให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรอง เห็นชอบ และออกเอกสารในข้อ 1 – 16 และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในเอกสารข้อ 17 – 19 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สาระสำคัญของร่างเอกสารจำนวน 19 ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรอง เห็นชอบ ลงนาม และออกระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะส่งเสริมให้ประชาคมอาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีความยั่งยืนในทุกมิติ
2. ร่างแผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ค.ศ. 2019 – 2021 เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการรับมือกับการก่อการร้ายและภัยคุกคามข้ามชาติ
3. ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการส่งเสริมสตรี สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก เพื่อส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของสตรีในการป้องกัน จัดการ และแก้ไขความขัดแย้งทางอาวุธ รวมถึงกระบวนการฟื้นฟูสันติภาพภายหลังความขัดแย้ง
4. ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการบิน : ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการบินในระดับภูมิภาคให้มีความมั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
5. ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิกว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายและแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายและแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงด้วยแนวทางครอบคลุม
6. ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) สำหรับปีกิจกรรม ค.ศ. 2019 -2020 ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก
7. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความร่วมมือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน – ออสเตรเลีย ค.ศ. 2020 – 2024 เป็นแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียในช่วงระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2567 ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและวัฒนธรรม และความร่วมมือที่คาบเกี่ยวระหว่างสามเสา
8. ร่างเอกสารแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกลุ่มหารือระหว่างอาเซียนกับรัสเซียในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
9. ร่างถ้อยแถลงอาเซียน – สหภาพยุโรปเรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรปในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่เปิดกว้าง ปลอดภัย มั่นคง เข้าถึงได้ และมีสันติ
10 ร่างถ้อยแถลงผู้นำอาเซียน – จีน ว่าด้วยข้อริเริ่มความร่วมมือด้านเมืองอัจฉริยะ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน – จีน ด้านเมืองอัจฉริยะในภาพรวม
11. ร่างแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศและแนวทางที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายสำหรับกิจกรรมความร่วมมือในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลในทะเลจีนใต้ เป็นเอกสารที่ไทยเสนอโดยรวบรวมสาขาความร่วมมือในด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลในทะเลจีนใต้
12. ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นหุ้นส่วน
13. ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เป็นสรุปผลการทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ที่ผ่านมา และแนวทางความร่วมมือและความสัมพันธ์ในอนาคต ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ
14. ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 20
15. ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 9
16. ร่างถ้อยแถลงของประธานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ครั้งที่ 26
17 – 19 ร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐเปรู ร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับราชอาณาจักรบาห์เรน เป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรับรองการเข้าร่วมเป็นอัครภาคีอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาฯ ของสาธารณรัฐเปรู สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และราชอาณาจักรบาห์เรน ทั้งนี้ ไทยในฐานะประธานอาเซียนประจำปี 2562 จะจัดพิธีลงนามตราสารขยายจำนวนอัครภาคีในสนธิสัญญาฯ ของทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้ง 10 ประเทศ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2562
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 9 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ครั้งที่ 26 ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 – 3 สิงหาคม 2562 ที่กรุงเทพมหานคร
3. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 (Joint Ministerial Statement of the Eleventh ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และ ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement of the Seventh ASEAN Plus Three Ministerial Meeting on Youth)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อถ้อยคำและสารัตถะร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 (Joint Ministerial Statement of the Eleventh ASEAN Ministerial Meeting on Youth) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement of the Seventh ASEAN Plus Three Ministerial Meeting on Youth) และให้ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยระดับรัฐมนตรี ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 (Joint Ministerial Statement of the Eleventh ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และ ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement of the Seventh ASEAN Plus Three Ministerial Meeting on Youth) ในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 (Joint Ministerial Statement of the Eleventh ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และ ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement of the Seventh ASEAN Plus Three Ministerial Meeting on Youth) เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมภายใต้หัวข้อหลัก “Enhancing the Role of Youth in ASEAN for Sustainable Development and Regional Integration” ซึ่งรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชนและประเทศบวกสาม จะให้คำมั่นและเน้นย้ำถึงความพยายามและมุ่งมั่นร่วมกันในการสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการกำหนดยุทธศาสตร์ และแนวทางการดำเนินงานของอาเซียนในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนทุกด้าน และเสริมสร้างบทบาทของเยาวชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและบูรณาการร่วมกันในภูมิภาค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี