เมื่อวันที่ 21กรกฎาคม 2562 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน มีการจัดงานภิปราย ข้อเสนอคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กับ คณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ 2 จัดโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) โดยมี นายพิชาย รัตดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. นายสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษา ครป. นายกษิต ภิรมย์ ที่ปรึกษา ครป. และนายปรีดา เตียสุวรรณ ที่ปรึกษา ครป. ร่วมเสวนา
โดยนายพิชาย กล่าวว่า หลายคนมองว่า รัฐบาลนี้มีข้อกังขา ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ เหตุผลเป็นเพราะ รัฐบาลนี้เกิดจากการสนับสนุน หรือการลงประชามติโดย สว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่งของเสียงที่สนับสนุนรัฐบาล หมายความว่า ต้นทุนที่มาจากประชาชนนั้นมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมาจากรัฐบาลประชาธิปไตยโดยทั่วไป ประการต่อมา จากเสียงที่ได้รับการสนับสนุนจาก สว.แล้ว รัฐบาลนี้ก็มีลักษณะจาก สส. เพียงแค่เสียงปริ่มน้ำ คือ เกินครึ่งมา 4-5 เสียงแค่นั้น แสดงให้เห็นว่า เสถียรภาพของรัฐบาลอาจมีปัญหาได้ในอนาคต ประการต่อมา มาจากเรื่องภาพลักษณ์ ของ ครม. ที่ค่อนข้างไปทางลบ มีรัฐมนตรีที่มีเรื่องอื้อฉาว มากมาย อาจมากกว่าสมัยไหนในสังคม อย่างอดีตคนที่ถูกเคยต้องโทษจำคุก หรือ ถูก ปปช.ร้องเรียน แม้แต่ตัวนายกฯเอง ที่ต้องอาศัย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ ซึ่งกรณีภาพลบอาจมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่รีบแก้ไข โดยการปรับ ครม. ขณะที่ในช่วงจัดตั้งรัฐบาล มีการแย่งชิงตำแหน่ง อำนาจหน้าที่กันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจับมือของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ภายในพรรคแกนนำจัดตั้ง ที่มีการทะเลาะกันเอง ลากมาถึงตำแหน่งรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นถึง ความตกต่ำของรัฐบาล
“สิ่งเหล่านี้ทำให้รัฐบาลต้องมีต้นทุนต่ำ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งเพิ่มต้นทุนให้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้น รัฐบาลอาจประสบชะตากรรมที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณออกมาให้เห็นว่า พรรคร่วมรัฐบาล มีแนวโน้มจะไม่รักษาสัญญาประชาคม ที่เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียง อย่าง เรื่องนโยบายที่มีการกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลขอย่างชัดเจน อย่าง เรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ การลดภาษีบุคคลธรรมดา 10% หรือ การเพิ่มเงินเดือนให้คนจบ ป.ตรี เป็น 20,000 บาท ในช่วงนโยบายเร่งด่วน โดยไปกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว ซึ่งหมายความว่า เป็นการพยายามจะหลีกเลี่ยง ขณะที่เราต้องไม่รู้ว่า อายุรัฐบาลนี้จะถึง 1 ปีหรือไม่” ประธานครป. กล่าว
นายพิชาย กล่าวด้วยว่า การที่พรรคการเมืองหาเสียงแล้วไม่ทำตามที่พูด ย่อมบั่นทอนความน่าเชื่อถือของตนเอง และเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งเราต้องถามว่า ทำไมพวกท่านถึงไม่คิดให้รอบคอบช่วงหาเสียง การพูดกลับกลอกไปมาเช่นนี้ เป็นการส่งผลให้ประชาธิปไตยอ่อนแอไปด้วย ดังนั้น ขอเสนอเพิ่มเติมของเรา นั้นสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วน คือ
1.การแก้รัฐธรรมนูญ โดยลดอำนาจ สว.ไม่ให้มีอำนาจเลือกนายกฯอีกตต่อไป และเป็นการยกระดับมาตรฐานประชาธิปไตยให้ใกล้กับความเป็นสากล
2.ส่งเสริมเสรีภาพของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ โดย การยกเลิกประกาศ คำสั่ง คสช.ทั้งหมดที่กระทบต่อสิทธิเสริภาพต่อ ประชาชน และสื่อมวล
3.รัฐบาลควรจัดตั้งกลไกหรือหน่วยงาน เพื่อให้การศึกษาประชาธิปไตยและหน้าที่พลเมือง อย่างจริงจัง รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ประการสุดท้าย คือ การขยายความเป็นประชาธิปไตยให้ครอบคลุมทั้งสังคม เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในเชิงนโยบาย
ด้านนายปรีดา กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูญวัย เกือบจะถึง 20% ของประเทศ ที่จะอายุมากกว่า 60 ปี และภายในปี 2535 จะสูงถึง 30% ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนา ของสังคมเนื่องจากกลุ่มคนที่เคยเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกำลังแก่ตัวลง ทั้งนี้นับจากปี 2016 เป็นต้นมา มวลแรงงานของประเทศ น้อยลงจากปี 2015 ถึง 50,000 คน และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปี 2016 นับเป็นปีแรกที่มีการก่อตั้ง ประเทศไทยมา ที่เรามีจำนวนมวลแรงงานลดลง ในขณะที่สังคมมีจำนวนคนที่เราต้องดูแลมากขึ้น แม้ประเทศในยุโรป หรือ ญี่ปุ่น จะเคยเจอปัญหาเหล่านี้ แต่ประเทศดังที่กล่าวมานั้นไม่มีปัญหา เพราะพวกเขาสร้างชนชั้นกลางให้เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากและ มีมาอย่างยาวนาน แต่ในประเทศไทยนั้นต่างไป เพราะ ประเทศไทย ยังไม่มีความพร้อมในการรองรับสังคมผู้สูงวัย
“ปัญหาที่เราต้องแก้คือ การเพิ่มรายได้รัฐจากสิ่งที่เรามีอยู่ สาเหตุที่ทำให้เราเก็บภาษีได้ไม่ดีเท่าไร เพราะ แรงงานของเรา 99% เป็นแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ทำรายได้กับรัฐน้อยมาก คิดเป็นเพียง 36% ของ GDP โดยมีกว่า 300,000 บริษัท แต่บริษัทขนาดใหญ่ที่เพียง 900 แห่ง นั้น กลับสร้างสัดส่วนกว่า 50% แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้แย่ที่สุดในโลก ซึ่งเราต้องขยายศักยภาพของแรงงานเหล่านี้ โดยการเปิดโอกาสให้มีการขยายขนาดธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เนื่องจากธุรกิจแทบทุกประเภทในประเทศไทยนั้น ถูกครอบคลุมโดยกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เป็นอำนาจเหนือ ตลาด เหนือสังคม ซึ่งกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้ก็ต้องมีความเสียสละด้วย โดยแบกรับภาษีที่ต้องจ่ายมากขึ้น และไม่อนุญาตให้เอกชนกลุ่มใดถือครองตลาดในสินค้านั้นๆเกินกึ่งหนึ่งของตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง” นายปรีดา กล่าว
ขณะที่นายกษิต กล่าวว่า ตนเคยมีโอกาสเจรจาซื้อขาย เครื่องบินรบกับเยอรมัน ที่ประเทศไทยชี้แจงว่า เป็นความลับของกระทรวงกลาโหม แต่ในส่วนของผู้ขายอย่างประเทศเยอรมัน กลับเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้ประชาชนได้รับทราบ อย่างโปร่งใส ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ขณะเดียวกัน ในฐานะที่เราเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน ตนจึงไม่เห็นสาเหตุใดๆว่าการที่เราซื้ออาวุธ นั้นจะเป็นความลับไปไปทำไม เพราะเราก็ไม่ได้มีความตั้งใจว่าเราจะนำอาวุธเหล่านี้ไปรบกับประเทศเพื่อบ้าน เพราะพวกเขาก็เป็นสมาชิกอาเซียน ที่ให้ความเคารพกฎบัตรอาเซียนเช่นเดียวกับเรา อย่างไรก็ตาม การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารของรัฐได้ เพื่อความโปร่งใสในการดำเนินการ ในทุกกระทรวงทบวงกรม กองทุนต่างๆ และรัฐวิสาหกิจ นับเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ความโปร่งใสเกิดขึ้น
“ขอเสนอห้ามมิให้ ตำแหน่งรัฐมนตรีใดๆ มีส่วนร่วมกับการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างโดยใช้ดุลยพินิจ โดยประเทศไทยควรตั้งองค์การจัดซื้อจัดจ้างกลางเพียง 1 องค์กรเท่านั้น เพื่อให้ทุกหน่วยราชการทำตามแผนแม่บทขององค์การสหประชาชาติ” นายกษิต กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างมาก ในการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่เห็นจากหลายประเทศทั่วโลก 5 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยได้ถูกบั่นทอน รวมทั้งเรื่องนิติธรรม นิติรัฐ ที่ถูกบิดเบือนไปว่า เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่ากฎหมายนั้นจะเป็นธรรมหรือไม่ ทั้งนี้ ครป.ขอเรียกร้องให้ รัฐบาล รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่รัฐ เคารพและยอมรับนับถือหลักสิทธิมนุษชยชนและนิติธรรมอันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย กำหนดนนโยบายและมาตรการทั้งทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ในการปกป้องส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่จะทำให้เรื่องนี้ ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้อง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยการยกเลิกหลักการ จับเองสอบเอง อย่างกรณีที่ ไม่ให้ตำรวจเป็นผู้สอบสวน โดยต้องแยกพนักงานสอบสวนออกจาก สตช. โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูและอย่างใกล้ชิดกับ อัยการสูงสุด ขณะที่ศาลต้องทำหน้าทีอย่างเป็นอิสระ เพราะศาลคือที่พึ่งสุดท้าย ของประชาชน และไม่ยอมรับหลักการของฝ่ายบริหารเสนอ โดยปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักนิติรัฐ และนิติธรรม พร้อมตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างเข้มแข็ง
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น มีอยู่ 2 จุด คือ ความขัดแย้งของคนในชาติ และความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนเชื่อว่า การให้ความสำคัญในหลักสิทธิมนุษยชน และ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ก่อนจะร่วมออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยต้องผ่านการปรึกษาหารือ และการยอมรับของทุกฝ่ายอย่างรอบด้านก่อน เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นอย่างทุกฝ่าย
“การผลักดันให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพิ่มกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อสงสัยคือ แม้มีการระบุให้เริ่มแก้ รับธรรมนูญใน 1 ปี แต่ก็ยังรู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการ หรือปล่อยปละละเลยจนเกิดวิกฤต แล้วจึงแก้ไข เราย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าผลสุดท้ายแล้ว การแก้รัฐธรรมนูญหลังเกิดวิกฤติไปแล้วนั้น ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร” นายสมชาย ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี