ประธานกสม.ปัดรวบอำนาจจนเป็นเหตุให้ 2 กสม.ไขก๊อก-เหน็บ 2กสม.บรรลุวัตถุประสงค์ได้เซ็ตซีโร่สมใจ แถลงข่าวยัน 3 กสม.ที่เหลือพร้อมทำหน้าที่ต่อไป เตรียมส่งหนังสือด่วนถึงปธ.ศาลฎีกา-ปธ.ศาลปค. เพื่อให้เลือก กสม.ชั่วคราว
เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม 2562 ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน(กสม.)นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) แถลงข่าวหลังนางอังคณา นีละไพจิตร และนางเตือนใจ ดีเทศน์ ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกสม.ว่า ได้รับหนังสือลาออกจากทั้งสองคนในช่วงเช้าที่ผ่านมาและจะทำหนังสือด่วนที่สุดในวันนี้ ถึงประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองเพื่อให้ทำการคัดเลือกกสม.ขึ้นมาทำหน้าที่ชั่วคราวระหว่างรอการสรรหากสม.ชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานนักก็ได้คนมาทำหน้าที่กสม.ชั่วคราว เดิมองค์กรกสม.มีจำนวน 7 คน ในจำนวนนี้ 1 คนทำหน้าที่ประธาน ซึ่งก่อนรัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 เม.ย.มีกสม. 1คนลาออก และเมื่อ 1 มิ.ย. 62 ก็มีกสม.อีก 1 ลาออกไปทำหน้าที่ในองค์กรอื่น จนล่าสุดมีกสม. 2 คนยื่นหนังสือขอลาออก ทำให้ขณะนี้เหลือกสม.ทำหน้าที่อยู่ 3 คน
นายวัส กล่าวว่า การทำหน้าที่ของกสม.ที่ผ่านมาต้องทำหน้าที่ในฐานะองค์กรกลุ่มที่ต้องมีการให้ความเห็นและเมื่อความเห็นต่างก็ต้องลงมติเป็นเอกฉันท์ ซึ่งหลายครั้งตนเองมักเป็นเสียงข้างน้อย โดยเฉพาะการประชุม 2 ครั้งหลังสุด แต่ตนก็เคารพเสียงข้างมากในการตัดสินใจ ดังนั้นข้อความที่ระบุว่าประธานกสม.รวบอำนาจไว้คนเดียวไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ในการทำหน้าที่ของกสม.มี 2 ส่วนสำคัญ คือ 1 เรื่องการคุ้มครองสิทธิที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียน แม้ไม่มีผู้ร้องเรียนก็สามารถหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบเองได้ รวมทั้งกรณีที่กสม.ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม การที่ปรากฏว่าห้ามกสม.รับคำร้องจากชาวบ้านในข้อเท็จจริงไม่เคยมีการห้าม แต่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการที่จะรับเรื่องร้องเรียน 2. ด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนก็มีการจัดเวทีให้ความรู้ส่งเสริมประชาชนเข้าใจในเรื่องสิทธิ และส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าตั้งแต่มีกสม.ชุดนี้เมื่อเดือนพ.ย. 58 ทำงานมา 3 ปีเศษ เมื่อเข้าทำงานมีเรื่องร้องเรียนที่ค้างอยู่ 90% แต่พอชุดนี้เข้ามาก็เร่งดำเนินการ หลังปรับระบบการทำงานทำให้เรื่องร้องเรียนเสร็จไปถึง 81% เหลือค้างไม่ถึง 20 % โดยเรื่องที่เหลืออยู่ในกระบวนการกลั่นกรอง
“ตอนที่มีกสม.เหลืออยู่ 5 คนเราทำงานด้วยดีมาตลอด ความเห็นไม่ตรงกันก็ใช้วิธีการลงมติเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งรายงานการตรวจสอบที่ออกไปก็เป็นไปอย่างมีคุณภาพ มีชื่อเสียงไปทั่วโลกซึ่งประเทศต่างๆ ชูประเทศไทยเป็นตัวอย่างโดยเฉพาะการที่จะมาดูงานด้านสิทธิมนุษยชน เช่น เนปาล ยอมรับว่าเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้น การทำงานมีความเห็นแตกต่างกันได้ แต่ผลงานจะเป็นที่ยืนยัน ซึ่งรายงานที่กสม.ออกไปมีข้อโต้แย้งน้อยมาก” นายวัส กล่าว
ประธานกสม. ยังกล่าวอีกว่า หลังมีกสม.ลาออกตามพ.ร.ป.ว่าด้วยกสม.2560 กำหนดให้กสม.ที่เหลือทำหน้าที่ซึ่งการลาออกในขณะนี้เหลือเพียง 3 คนทำให้องค์ประชุมเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จากเดิมที่มี 7 ต้องมีองค์ประชุม 4 คน แต่ตอนนี้เหลือ 3 คน ในแง่ขององค์กรกลุ่มทำให้ไม่สามารถประชุมเพื่อออกรายงานของกสม.ได้ แต่ทั้ง 3 คนก็จะยังคงทำหน้าที่ต่อไป และถ้าดูตัวเลขกสม.ที่ลาออกไปรวม 4 คน อาจจะเหมือนมาก แต่จะไม่เกิดปัญหาในการทำงานและมองว่าเป็นปัญหาเฉพาะตัว
"ที่ผ่านมาในเรื่องของพ.ร.ป.ว่าด้วยกสม. 2560 ทางกรรมาธิการสนช.ได้ส่งมาให้กสม.พิจารณาเนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่วนใหญ่เป็นภาพรวมของการทำงาน ซึ่งก็มีกสม. 2 คนเห็นด้วย รวมทั้งเห็นด้วยกับประเด็นการเซ็ตซีโร่กสม.ชุดนี้ ทั้งที่อีก 4 คนไม่เห็นด้วย ฉะนั้นกสม.ที่เห็นด้วยกับการเซ็ตโร่กสม.ชุดนี้ก็ต้องถือว่า บรรลุวัตถุประสงค์และคิดว่าจะไม่เอาองค์กรตัวเองไว้แล้ว จึงไม่แน่ใจว่าการลาออกของ 2 กสม.ที่สุดเป็นการสานต่อปณิธานของเขาหรือไม่ แต่จะมีเหตุผลนี้หรือไม่ก็ต้องพิจารณากันต่อไป” นายวัส กล่าว
ส่วนที่มีการอ้างว่ากสม.มีวางแนวปฏิบัติในเรื่องการให้ข่าวเคร่งครัดนั้น นายวัส ยืนยันว่าไม่ได้มีการห้ามเพราะไม่มีอำนาจจะไปห้ามเป็นการส่วนตัว แต่การให้ข่าวขององค์กรกลุ่มต้องมีมาตรฐานและมีระเบียบซึ่งที่ผ่านมากสม.ออกแนวปฏิบัติในการให้ข่าว โดยกำหนดว่าถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการหรือคนที่ได้รับมอบหมาย ส่วนที่เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของกสม.แต่ละคนก็สามารถให้ข่าวได้ แต่การให้ข่าวเรื่องที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและข้อเท็จจริงยังไมได้สรุปก็เป็นเรื่องที่สมควรต้องหลีกเลี่ยง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการแถลงข่าวของประธานกสม.นี้ นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิ์ที่ไม่ได้ลาออก ได้มาร่วมฟังการแถลงข่าว ขณะที่นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ
โดยนางประกายรัตน์ กล่าวว่า ส่วนตัวได้พบกับหนึ่งในกสม.ทื่ยื่นลาออกไป และได้พยายามยับยั้งขอให้ทำหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ส่วนตัวจะไม่ลาออก จะอดทนทำหน้าที่ เพราะถือว่าอาสาเข้ามาทำหน้าที่นี้แล้วก็ต้องเดินหน้าสานต่อและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนต่อไป เชื่อว่าหลายคนที่ทราบข่าวการลาออกคงรู้สึกตกใจไม่หน่อยแต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของทั้งสองคน ทั้งนี้ เข้าใจว่าทั้งสองคนคุ้นเคยกับการทำงานแบบองค์กรเดี่ยว แต่เมื่อมาทำงานแบบองค์กรกลุ่มอาจจะอึดอัด
“เราควรต้องอยู่เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหน้าที่อำนาจ ดิฉันกับท่านประธานจะอยู่ทำงาน ถึงเราจะอยู่กับ 3 คน ก็ยังสามารถดูแลสิทธิมนุษยชนของประชาชน แม้จะมีข้อจำกัดในบางเรื่องก็หวังว่าทางออกที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ในบทเฉพาะกาลจะทำให้เราได้กสม.ชั่วคราวเข้ามาช่วยทำงานเพื่อช่วยออกรายงานการประชุมในการเสนอต่อครม.ได้” นางประกายรัตน์ กล่าว และระบุว่า ไม่สามารถแสดงความเห็นหรือทราบว่านางฉัตรสุดา จะมีความเห็นอย่างไรต่อการที่กสม. 2 คนลาออก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี