“เรืองไกร”ยื่นอสส.ส่งปม“ประยุทธ์”ถวายสัตย์ไม่ครบ ไม่แถลงแหล่งที่มารายได้นโยบายต่อรัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โฆษกอัยการเร่งส่ง อสส.พิจารณา ชี้ 15 วันยังไม่สั่ง ยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเองได้เลย
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 7 สิงหาคม 2562 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตทีมกฎหมายพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เดินทางมายื่นหนังสือถึง นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด(อสส.) เพื่อขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กระทำการขัดรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้กล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 161 และไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย ในวันที่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 162 โดยมีนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกฯ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ
นายเรืองไกร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา การกล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ คือ กล่าวคำปฏิญาณตกไปในท่อนสุดท้าย แถมยังกล่าวคำว่า “ตลอดไป” เติมเข้ามาอีก ซึ่งการอภิปรายในสภาก็กำลังจะมีการตั้งกระทู้สดในเรื่องนี้ บางคนที่ได้รับทราบเรื่องนี้ก็มีการไปร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่จากที่ตนได้ดูข้อกฎหมาย และจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาเห็นว่าเรื่องนี้จะต้องมาร้องที่อัยการสูงสุด เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดมาตรา 5 และไม่เป็นไปตามมาตรา 3 วรรคสอง ก็เท่ากับว่าการกระทำดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเป็นโมฆะ
ประเด็นที่ 2 คือ เมื่อขณะเข้ารับหน้าที่แล้วจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามมาตรา 162 เนื่องจากนโยบายจะต้องสอดคล้องกับหน้าที่แห่งรัฐ พร้อมต้องแสดงที่มาที่จะนำใช้จ่าย ต่อนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา แต่ก็เกิดปัญหาว่าคำแถลงนโยบาย 37 หน้า ไม่มีตัวเลขงบประมาณ ก็เท่ากับว่าการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อรัฐสภาน่าจะเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ การไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอาจจะโดนดำเนินคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งตนก็ได้ยื่นคำร้องที่ ป.ป.ช.มาแล้ว จึงมายื่นคำร้องขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า การกระทำดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ ตามมาตรา 89 ที่บัญญัติไว้ว่าผู้ใดทราบการกระทำที่จะเป็นการล้มล้างการปกครอง และต้องนำเอาประเพณีตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาใช้ด้วยจากเหตุที่ได้มาโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย
ในเรื่องมาตราดังกล่าวจะเห็นได้จากที่พรรคของตนได้ถูกยุบตามมาตรา 92 เพราะจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเป็นปฏิปักษ์การได้อำนาจ ตรงนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงยังต้องไปยึดโยงรัฐธรรมนูญ 2550 ในวันนี้ตนนั้นได้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีสนธิสัญญาไทย-กัมพูชาที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยการกระทำของนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ว่า มีการกระทำที่ไม่ชอบเพราะไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา และเท่าที่ทราบการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเกิดจากข้อผิดพลาดจริงๆ เราจึงต้องมาหาทางออกร่วมกันว่าถ้ามีการบริหารราชการแผ่นดินในการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายแล้ว ถัดจากนี้การประชุมของ ครม. หรือการใช้จ่ายงบประมาณและพันธกรณีกับต่างประเทศมันจะสมบูรณ์หรือไม่
“ตนจึงเห็นควรเสนอว่าในเมื่อมันเกิดการกระทำที่ไม่ชอบแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเริ่มกระบวนการขึ้นมาใหม่ แล้วเลือกผู้ที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรี และถ้ายังได้มติจากที่ประชุมรัฐสภาเข้ามารับตำแหน่ง และนำคณะรัฐมนตรีขอเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วน และทำคำแถลงนโยบายใหม่อันนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด ประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็จะยุติแต่ในส่วนกรณีที่ตนได้ยื่นร้องอัยการสูงสุดวันนี้ก็จะยังทำคู่ขนานกันต่อไป” นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่ากรณีนี้มีการไปร้องในช่องทางอื่นควบคู่ไปด้วย นายเรืองไกร กล่าวว่า การที่มีคนไปร้องผู้ตรวจการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 ซึ่งผู้ร้องคนเดียวกันนั้นเคยร้องเรื่องนายกฯเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นผู้ตรวจการก็ได้ตีความบอกว่าไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และภายหลัง กกต.ก็เอามาอ้าง ตนจึงเห็นว่าช่องนี้ไปไม่ได้ แต่ของตนมี 2 ประเด็นคือมาตรา 161 และ 162 และรัฐธรรมนูญมาตรา 231 (1)ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นบทบัญญัติที่ขัดแล้วธรรมนูญก็จะต้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนกฎหมายศาลปกครองจะไม่รับกรณีที่เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุผลที่ตนต้องมาสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง หรือร้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรหรือช่องอื่นที่คนอื่นร้อง
“ในเรื่องความเสียหายเหตุการณ์มันชัดเจนแล้ว เหมือนที่นายกรัฐมนตรีไปพูดที่โรงเรียนนายร้อยแล้วก็มาพูดที่ ครม.มันชัดเจนมากว่าปัญหานี้นายกฯขอแก้ไขเอง นี่คือเหตุผลที่ผมขอเสนอให้ท่านลาออกเพราะถ้ารอให้เปิดอภิปราย มันก็จะยิ่งต้องมีการนำข้อมูลเพราะถ้าเราย้อนไปดูการเข้าเฝ้าฯจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแทบทั้งสิ้น” นายเรืองไกร กล่าว
ด้านนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 ซึ่งเป็นช่องทางที่ อสส.จะพิจารณาว่าจะสามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ โดยหากภายใน 15 วันอสส.ยังไม่ได้ให้คำตอบ หรือดำเนินการใดๆแก่ผู้ร้อง โดยผู้ร้องนั้นสามารถไปยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ตนจะรับเรื่องนำเรียน อสส.ต่อไป ซึ่งในประเด็นนี้ทางอัยการมีคณะทำงานเฉพาะ เนื่องจากมีผู้ร้องหลายคนที่ร้อง มีหลายคำร้องลักษณะคล้ายกัน รวมถึงที่พรรคอนาคตใหม่ได้มายื่นก่อนหน้านี้ เรื่องนี้ก็ให้คณะทำงานไปดำเนินการก่อนเสนอให้ อสส.พิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อ อสส.พิจารณาแล้ว จะแจ้งผลให้ผู้ร้องทราบ เพราะผู้ร้องอาจใช้สิทธิร้องเอง ซึ่งยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากมีเรื่องพิจารณาหลายเรื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี