"พรรณิการ์"ตั้งกระทู้ปม"เฟคนิวส์" ถามกรณีส.ส.รัฐบาลปล่อยข่าวทำ"อนค."เสียหาย ด้าน"พุทธิพงษ์"ชี้"ดีอี"ไม่มีอำนาจปกป้องหรือกลั่นแกล้งใคร ยันตั้งศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือเบื้องต้น
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562 ที่รัฐสภา ย่านเกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยมี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุมคือ การตอบกระทู้สดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ได้ตั้งกระทู้ถาม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ถึงมาตรการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของข่าวปลอม ที่สร้างความแตกแยก เกลียดชังในสังคม
โดย น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า สืบเนื่องมาจากในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุระเบิดหลายจุดในกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและอยู่ในความสนใจของประชาชนจำนวนมาก นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็กลับมามีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่อ่อนไหว ไม่สมควรที่จะมีคนมาฉกฉวยโอกาสมาใช้โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยมีการหยิบยกจับเอาทฤษฎีและตัวบุคคลมาใส่ร้ายป้ายสีว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งกระทบต่อสิทธิเสรีภาพต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์ และรัฐบาลจะต้องมีหน้าที่บริหารสถานการณ์และควบคุมไม่ให้ข่าวปลอมเผยแพร่ออกไป อันจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวต่อประชาชนทั่วไป ดังนั้น ตนจึงถามว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้บรรจุนโยบายการป้องปรามการแพร่ระบาดของข่าวปลอม เป็น 1 ในนโยบาย 12 ประการเร่งด่วน ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางกระทรวงดีอี ได้ระบุว่า จะตรวจสอบข่าวและกระบวนการใช้สื่อโซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น ตนอยากทราบว่า กระทรวงดีอี ได้มีมาตรการอะไรไปแล้วบ้าง ในการควบคุมจัดการ การเผยแพร่ข่าวปลอม หรือข้อมูลบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุระเบิดและเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ ทั้งที่ปฏิบัติไปแล้ว และกำลังจะปฏิบัติอย่างไรบ้าง
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ระบุว่า กระบวนการทางโซเชียลมีเดีย มีทั้งข่าวจริงและข่าวไม่จริง และสิ่งที่ทางรัฐบาลได้เคยแถลงแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะถือเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายให้แก่ของพี่น้องประชาชนและสร้างความตื่นตระหนกเป็นวงกว้าง แต่นอกจากนี้ ยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบ จากการเผยแพร่ข่าวที่ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ควบคุมพื้นที่ภายหลังจากที่มีเหตุระเบิด ซึ่งถือเป็นการสร้างความตื่นตระหนกและสร้างความกังวลต่อประชาชนโดยรวม ซึ่งในข่าวนั้น ประชาชนก็มีความรู้สึกวิตกกังวลว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีก ดังนั้น ตนขอตอบคำถามผู้ตั้งกระทู้ว่า ว่าทางกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการอะไรไปบ้าง โดยหลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวออกไปตั้งแต่ตอนเช้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องใช้เวลาและหาทางในการเผยแพร่แถลงข่าว โดยทางโฆษกของ กอ.รมน.ก็ออกมาชี้แจงอย่างละเอียด เมื่อเวลา 14.15 น.ว่าข่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นข่าวปลอม และตนก็ออกมาแถลงข่าวเพื่อย้ำว่าเป็นข่าวปลอม
ทั้งนี้ เหตุผลที่เราต้องรอการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นข่าวปลอมนั้น เนื่องจากว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่กระทรวงได้ใช้บังคับอยู่นั้น เราจะสามารถดำเนินการได้ต้องได้รับความยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าเป็นข่าวปลอม จากนั้นหากมีการเผยแพร่ข่าวที่ยืนยันว่าเป็นข่าวปลอมนั้น นั่นคือเหตุของความผิดที่เกิดขึ้น ดังนั้น หากมีการยืนยันว่าเป็นข่าวปลอม แล้วท่านยังยืนยันที่จะส่งที่จะเผยแพร่ออกไปนั้น ถือว่าท่านมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง และได้มีการติดติดตามว่าบุคคลที่เป็นต้นทางในการเผยแพร่ข่าวปลอมว่ามีใครบ้าง ซึ่งวันนี้เราสามารถดำเนินการการไปแล้ว 4 ราย
ดังนั้น จะเห็นว่าทางกระทรวงดีอีมีการเอาจริงเอาจังในการป้องกันข่าวปลอมตามกฎหมาย แต่อีกเรื่องอีกประเด็นหนึ่งก็คือว่าในการตั้งศูนย์ป้องกันข่าวปลอม ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นที่ได้ วันนี้เป็นเพียงแนวคิด แล้วก็จะพยายามศึกษาเพื่อทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้น ตนจึงดีใจที่ผู้ตั้งกระทู้ได้ถามคำถามในวันนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ที่กระทบกับคนกับผู้บริสุทธิ์และบุคคลต่างๆ ดังนั้น ตนจึงมีความตั้งใจที่จะทำงานในส่วนนี้ เพราะเรื่องนี้มีความจำเป็นต่อสังคมนี้ และต้องช่วยกันทำ กระทรวงทำคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยภาคประชาชนสังคมและข่าวต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ส.ส.ก็ต้องช่วยกันด้วย
ต่อมา น.ส.พรรณิการ์ ได้ถามต่อว่า หนึ่งในผู้ที่เผยแพร่ข่าวต่อมจากเหตุระเบิดนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในพรรคการเมืองเดียวกับท่าน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาปกป้องว่า อาจจะไม่ใช่เป็นคนที่เผยแพร่ข่าวดังกล่าว ซึ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนอยากถามว่าในส่วนของกระทรวงดีอี และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เองนั้น จะจัดการอย่างไรกับกรณีนี้
โดย นายพุทธิพงษ์ ตอบว่า ในส่วนของพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุดนั้น ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า มูลเหตุที่จะมาดำเนินคดีได้นั้น จะต้องกระทบต่อสังคมโดยรวมไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลและส่วนตัว โดยในอดีต พ.ร.บ.ดังกล่าว เคยมีเหตุการณ์ว่าไม่ว่าใครจะเขียนอะไรแบบไหนก็สามารถจะใช้ พ.ร.บ.นี้ ในการแก้ไขปัญหาได้ แต่ในวันนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าถ้าเป็นเรื่องส่วนบุคคลท่านสามารถไปใช้ช่องทาง ในการฟ้องหมิ่นประมาทระหว่างบุคคลต่อบุคคลได้ ทั้งนี้ สิ่งที่ตนเห็นทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ตั้งกระทู้และอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างก็ใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการฟ้องร้องซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดแล้ว แต่ในที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมายังไงทางกระทรวงดีอีไม่มีอำนาจไปริดรอนสิทธิ์ของท่าน ทุกอย่างเราจะรวบรวมและส่งไปยังศาลและและในเมื่อศาลเห็นข้อมูล ก็จะมีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทางกระทรวงดีอีได้มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยอาศัยอำนาจศาล โดยไม่มีการการใช้อำนาจของกระทรวงดีอีไปรังแกหรือไปปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดียวกับตนหรือต่างพรรคการเมืองก็ตาม ขอให้สบายใจได้ ว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามกฎหมาย ตามระเบียบและมีความเสมอภาค
สุดท้าย น.ส.พรรณิการ์ ได้ถามว่าขณะนี้วาระของการต่อต้านเฟค นิวส์ (Fake News) เป็นวาระที่รัฐบาลทั่วโลกมีความท้าทายอย่างหนึ่งก็คือการปราบปรามเฟค นิวส์ นี้จะทำอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทำยังไงจะไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนประชาชน ในขณะเดียวกัน จะต้องมีการปราบปรามวาทะที่เป็นการยุยง ที่เป็นการส่งเสริมความเกลียดชังและความรุนแรงและข้อมูลผิดกฎหมายต่างๆ อย่างได้ผล ซึ่งในหลายๆ ประเทศที่ก็ไม่ได้ให้ให้ให้อำนาจรัฐบาลอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจัดการข่าวปลอมแต่ว่าให้ภาคประชาสังคมสื่อที่ได้รับความน่าเชื่อถือและองค์กรที่ยึดโยงกับประชาชนร่วมกันตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร หรือที่เรียกว่า Cross Check แต่ในการตั้งองค์กรที่ต่อต้านเฟค นิวส์ ของทางรัฐบาลนั้นมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 15 องค์กร ซึ่งเป็นองค์กรของภาครัฐทั้งสิ้น ดังนั้น ตนจึงขอถามว่า จะทำยังไงในการดำเนินการปราบปรามเฟค นิวส์ เป็นการดำเนินการที่เป็นกลางที่มีประสิทธิภาพ ไม่สิทธิของประชาชน และท่านจะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อใจได้ อย่างเช่น กรณีของตนและพรรคอนาคตใหม่ที่มีการพาดพิงและเชื่อมโยงของเรื่องเหตุระเบิดนั้น ในวิจารณญาณของท่าน ท่านว่าเป็นเฟค นิวส์ หรือไม่ และถ้าเป็นแล้วจะมีนโยบายในการจัดการเรื่องนี้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้ศูนย์ต่อต้านเฟค นิวส์ นั้น มีการยึดโยงกับประชาชนและมีส่วนร่วมด้วย
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ระบุว่า การที่มี 15 องค์กรภาครัฐ ไปหารือนั้น ถือว่าเป็นการหารือในเบื้องต้น ว่าหากมีการตั้งกระบวนการตั้งศูนย์ป้องกันกันข่าวปลอมขึ้น เราควรจะทำอย่างไร ควรจะมีแนวคิดยังไงจากสิ่งที่เรามีอยู่ อย่างเช่นการเชิญกรมประชาสัมพันธ์ องค์การอาหารและยา หรือองค์กรอื่นๆ ที่คิดว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงนั้น แต่ละหน่วยงานดังกล่าวนั้นได้ยกตัวอย่างคำว่าอะไรที่เป็นข่าวจริงอะไรที่เป็นเฟค นิวส์ และทำให้เห็นว่าในการตั้งศูนย์ดังกล่าวนั้น เราไม่ได้ไปมุ่งหวังแต่เพียงเรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การที่จะตั้งศูนย์ต่อต้านเฟค นิวส์ขึ้นมาจริงๆ นั้น ก็จะมีหน่วยงานที่ผู้ตั้งกระทู้ได้ได้ตั้งขึ้นมาเกี่ยวข้อง เช่น สำนักข่าวต่างๆ ภาคประชาชน ซึ่งเราพยายามจะหารือให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารให้ถูกต้อง ดังนั้น การการตั้งศูนย์ต่อต้านเฟค นิวส์ นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นเตรียมการ ซึ่งจะมีการหารืออยู่ตลอดทั้งในและต่างประเทศในช่วงนี้ ก่อนที่จะมีการดำเนินการตั้งศูนย์อย่างเป็นทางการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี