เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ชั้น 8 อาคารไทยซัมมิท พรรคอนาคตใหม่ จัดเสวนาในหัวข้อ “ราคาของความเหลื่อมล้ำ” โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมฟังเสวนากว่า 100 คน จากหลากหลายอาชีพ โดยนายพิธา กล่าวว่า นิยามของความเหลื่อมล้ำเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนเข้ามาเล่นการเมือง และเข้ามาอยู่กับพรรคอนาคตใหม่ แม้ตนจะเกิดมาในชนชั้นกลางในของประเทศไทย แต่พอเจ็บป่วยในต่างประเทศที่เจริญแล้ว ทำให้ตนรู้ว่าเป็นแค่ชนชั้นสองของประเทศนั้น เพราะเข้าถึงการรักษายากกว่าชั้นนั้นหนึ่งที่นั้น คนจำนวนมากที่ไม่มีความพร้อม ก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ พอล้มแล้วก็อยู่ที่เดิม ข้อเท็จจริงคือหากเราอยู่ในสังคมและระบบเศรษฐกิจที่ทำงานกับเราทุกคน หากเราทำงานหนักเราก็จะสามารถลุกขึ้นเดินต่อไปได้ ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งที่กลัวคนอีกกลุ่มเข้ามาแย่งผลประโยชน์ของตัวเอง ก็จะกีดกันการเข้าถึงอำนาจเพื่อไม่ให้คนอื่นเลื่อนชนชั้น หรือมีชีวิตดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่ได้
นายพิธา กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นต้นเหตุและผลพวงของระบบการเมือง และระบบการเมืองที่ล้มเหลวจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวก็กลับไปซ้ำเติมระบบการเมืองอีกรอบหนึ่ง จนคน 99 % ไม่สามารถออกจากวังวนของความเหลื่อมล้ำได้ ซึ่งพจนานุกรมของมหาวิทยาลัยแคมบริด อธิบายไว้ว่า ความเหลื่อมล้ำคือสถานการณ์อันไม่เป็นธรรมในสังคม ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ ที่คนบางกลุ่มเข้าถึงทรัพย์กรและโอกาสได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เพราะความเหลื่อมล้ำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่า ความไม่เท่ากัน หรือเป็นเรื่องช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย เพราะช่องว่างนี้ก็อาจจะมาจากที่มาของคนๆ นั้นก็ได้ คนที่มาจากบึงกาฬ ก็ต่างกับกับคนที่มาจากทองหล่อ หรืออาจจะมาจากคนละนามสกุลกัน
การไม่จงใจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ จะยกตัวอย่างกับคนที่เกิดจากภาคอีสาน เป็นพื้นที่ที่ไม่ทรัพยากรน้ำ หรือไม่มีพื้นที่ที่ออกทะเลได้ หรือที่ตั้งรหัสไปรษณีย์ที่ต่างกัน ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบกับภาคใต้ที่มีทรัพยากรที่มากกว่า คุณภาพชีวิตระหว่างคนมาเลเซีย กับคนสิงคโปร์ หรือคนที่รัฐอริโซนา กับคนที่รัฐโอไฮโอ หรือคนที่นิวซีแลนด์ กับคนที่ไอซ์แลนด์ คือ คนบางประเทศเขาเกิดมาก็พบกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแล้ว จนตั้งแต่เกิดตามรหัสไปรษณีย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบแค่ส่วนนี้เพราะสิงคโปร์ตอนแรกก็ซื้อน้ำจากมาเลเซีย ต่อมาก็สู้จนสามารถส่งน้ำกลับไปขายที่มาเลเซีย
ข้อมูลความเหลื่อมล้ำจากสื่อหลายสำนักเปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก แต่สภาพัฒน์ออกมาโต้ว่า อยู่ที่อันดับที่ 42 ของโลก ความต่างคือสื่อต่างประเทศใช้ ‘ความมั่งคั่ง’ เป็นตัวชี้วัด เพราะย้อนกลับไปดูทรัพย์สินที่คนนั้นมีอยู่ ส่วนสภาพัฒน์ใช้ ‘รายได้’ เป็นตัวชี้วัด คือ ดูแค่ว่าคนนั้นมีรายได้เท่าไหร่ ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่า มีคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงานให้เงินเดือนตัวเอง 50,000 บาท ให้เงินเดือนวิศวกรรม 15,000 บาท ถ้าคิดจากฝั่งรายได้ ความเหลื่อมล้ำของสองคนนี้ ก็จะไม่ห่างกัน แต่หากมองไปในรายละเอียดก็จะพบว่า คนหนึ่งมีโรงงาน แต่อีกคนหนึ่งมีแค่เงินเดือน 15,000 บาท
นายพิธา กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำมีหลายประเภท คือ1.ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจคนจำนวน 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศไทย ถือครองทรัพย์สิน 67 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนอีก 99 เปอร์เซ็นต์ ถือครองทรัพย์สิน เพียง 33 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่า คน 1 คน ในห้องนี้มีเก้าอี้ 67 ตัว และคนอีก 99 คนในห้องนี้มีเก้าอี้เพียง 37 ตัว คือ เก้าอี้ 1 ตัวต้องนั่งกันประมาณ 3 คน และตระกูลชั้นนำกว่า 50 ตระกูลของไทยถือครองทรัพย์สิน อยู่ 31 % หรือ 1 ใน 3 ของประเทศ
ส่วนช่องว่างรายได้ระหว่างกลุ่มคนที่รวยที่สุดกับจนที่สุดต่างกัน 19 เท่า ปี 2560 สภาพัฒน์เปิดเผยข้อมูลว่า คนที่มั่งคั่ง 10 % ของประเทศไทย มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท และคนที่ยากจนที่สุด 10 % ของประเทศไทย มีรายได้เดือนละ 1,759 บาท พอนำตัวเลขมาหารก็ต่างกันถึง 19 เท่า การกระจายงบประมาณก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัยคือ ตัวเลขสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ ระหว่างคนกทม. ที่มีประชากรอยู่ 15 % ใช้งบประมารที่รวมส่วนกลางเป็นทั้งหมด 74 % พูดง่ายๆ คือ กทม. คือ ประเทศไทย ส่วนประชากรอีก 85 % ที่เหลือได้งบประมาณเพียง 26 % ยิ่งทวีความเหลื่อมล้ำมากขึ้นไปอีกการเก็บภาษีของไทยยังมี VAT เป็นสัดส่วนมาก ซึ่งคนรายได้น้อยได้รับผลกระทบมากกว่าจากการถูกเก็บภาษีในสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับรายได้ อธิบายง่ายๆ คุณซื้อยาสีฟันยี่ห้อเดียวกัน ราคาเท่ากัน คนที่เงินเดือน 3,000 บาท กับคนที่เงินเดือน 30,000 บาท ก็ได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน หากการเก็บภาษีระบบก้าวหน้า คือเก็บจากคนที่ทำมาก ก็ต้องเสียมาก ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินที่สำคัญได้ แต่ของประเทศไทยไม่ใช่แบบนี้ เพราะคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจก็จะมีทนายคอยหาช่องทางในการเลี่ยงภาษีได้2.ความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากรในประเทศไทย บริษัท 10 % มีรายได้ 90 % ของธุรกิจทั้งประเทศ หากไปดูประเทศไต้หวัน ธุรกิจ SME ถูกสร้างเป็นระบบที่สามารถรองรับการเติบโตได้ทั่วถึงไม่ให้เกิดการกระจุกตัวเรื่องความมั่งคั่ง ประเทศไทยเป็นระบบธุรกิจที่เอื้อเจ้าสัว ยิ่งเศรษฐกิจไทยเติบโต
ก็ยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืน ดูง่ายๆ คือเรื่องการเติบโตของ GDP นาทีที่ 37 ตอนที่ตนหาเสียงมีคุณป้าคนหนึ่งเข้ามาหาผมบอกว่าตัวเลข GDP 17 % โตแต่คุณป้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะถ้าดู GDP ภาคการเกษตร จะพบว่า 5 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขติดลบ 7 % และตัวเลขหนี้ครัวเรือนติดลบ 28 % มากกว่าการเติบโตของ GDP การกระจุกตัว ไม่เท่าเทียม และไม่ชอบธรรมในการถือครองที่ดินในประเทศไทย คือปัญหากระดุมเม็ดที่ 1 ที่ตนอภิปรายในสภาครั้งที่แล้ว คนจำนวน 10 % ถือครองที่ดินกว่า 90 % ชาวนาและเกษตรกรจำนวนมาก ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง คนที่มีที่ดินมากที่สุดในไทยคือ 6 แสนไร่ มันเป็นความจงใจบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว หากเราแก้ได้จะแก้ปัญหากระดุมเม็ดแรกได้ และประชากรในเขตเมืองเข้าถึงทรัพยากรน้ำชีวิตประจำวันมากกว่า และได้รับการคุ้มครองมากกว่าเวลาเกิดอุทกภัย อีกอันคือ การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในแต่ละภูมิภาคที่คนกทม. 15 % มีโอกาสเข้าถึงกว่า 85 % เป็นสัดส่วนที่ต่างกันมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนชนบทที่เหลือ
3.ความเหลื่อมล้ำทางสิทธิและโอกาสการศึกษาไทยมีความเหลื่อมล้ำทั้งระหว่างภูมิภาค ประเภทของการเรียน ไปจนถึงการเข้าถึงการเข้าสู่ระดับอุดมศึกษา ภาระการจ่ายเพื่อการศึกษาคนที่มีรายได้ต่ำ ต้องแบกรับภาระมากกว่าคนที่มีเงิน เพราะต้องนำเงินเกือบทั้งหมดไปใช้จ่าย จนไม่เหลือเงินไปทำอย่างอื่น การเข้าถึงด้านสาธารณสุข หรือการเข้าถึงแพทย์ยังกระจุกตัวอยู่ในกทม. และการกระจายผลประโยชน์ของระบบสวัสดิการยังตกเป็นของคนกลุ่มบน ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าคนกลุ่มล่าง ส่วนระบบการคมนาคม รัฐจะให้ความสำคัญกับเมืองหลวงมากกว่า โดยโครงการลงทุนภาคคมนาคมของไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์กับคนกลุ่มบน ทั้ง รถไฟฟ้า รถเมล์ และทางด่วน
ความเหลื่อมล้ำอยู่ในทุกอณูของสังคม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ความเหลื่อมล้ำเป็นสาเหตุและผลพวงของระบบการเมืองที่ล้มเหลว ก่อนจะไปซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจ และก็จะย้อนกลับไปทำร้ายระบบการเมืองอีกรอบ วนเวียนอยู่แบบนี้ จนคนไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ต่อให้พยายามมากเท่าใดก็เหมือนการวิ่งชนกำแพง เมื่อเอาเวลาไปทำมาหากิน จึงไม่สนใจการเมือง ส่งผลให้มีคนเข้ามายึดอำนาจ และเป็นโอกาสให้เขาเข้ามายึดทรัพยากรใหม่ นี่คือราคาของความเหลื่อมล้ำที่คนไทยต้องจ่าย
นายพิธา กล่าวอีกว่า สาเหตุของความเหลื่อมล้ำ ประกอบด้วยปัจจัย เชิงภูมิศาสตร์ เชิงประชากร เชิงนโยบายทั้งใน และนอกประเทศ ปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์นั้น ยกตัวอย่าง GDP ตามแต่ของจังหวัดระยองซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม มีจำนวนกว่า 90,000 บาทต่อเดือน แต่พอไปสำรวจตัวเลขจริงๆ คนกลับไม่ได้มีรายได้จริงตามนั้น เพราะตัวเลขเพิ่มขึ้นจากกลุ่มทุนที่มีเพียงไม่กี่รายในจังหวัด สองคือปัจจัยเชิงประชากร และเชิงนโยบายของรัฐ ยกตัวอย่าง โครงการอีอีซี ที่เป็นการแสดงถึงนโยบายที่ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ ตนไม่ได้พยายามขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่รัฐต้องทำนโยบายที่เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ต้องใช้กฎหมายอย่างชอบธรรม ไม่ใช่เอาตัวเลข GDP มาเป็นตัววัดอย่างเดียว ต้องสามารถรวมตัวคนที่มีศักยภาพและฉลาดมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ และต้องออกแบบนโยบายที่มีระบบและทิศทางที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลเสียที่ตามมามากกว่าเดิม เช่น มลพิษอากาศ หรือน้ำ เท่าที่ตนลงพื้นที่ก็ทราบว่า คนในจังหวัดฉะเชิงเทรา หลายคนยังต้องต่อสู้เพื่อให้มีพื้นที่ทำกินอยู่ “ทำไมจึงให้พื้นที่หรือโอกาสนักลงทุนต่างชาติได้ แต่ให้คนไทยในพื้นที่มีที่ดินทำกินไม่ได้”
ส่วนนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนนั้น ที่มีคนมาลงทะเบียนกว่า 14 ล้านคน เป็นนโยบายที่สามารถเพิ่มกำลังซื้อของคนจนได้ แต่ต้องดูว่าเงินไหลไปสู่ทางไหน ที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่า สุดท้ายผลประโยชน์และเงินทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่กลุ่มทุนซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ
นายพิธา กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ของทุกประเทศในศตวรรษนี้ สำหรับสมการลดความเหลื่อมล้ำนั้น ต้องบวกการตรวจสอบ ลบการผูกขาด คูณประชาชน และหารความเสียหายของคนทั้งประเทศ ตนอาจไม่เป็นนักการเมืองไปตลอดชีวิต ดังนั้น ความเข้มแข็งของภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ไปบีบคั้นในสภา ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง ตนคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตลอดเวลา ว่าการแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ พวกเราต้องหลงทางแน่ แต่ถ้าหันกลับไปเจอประชาชนอยู่ข้างหลัง หลงทางแล้วก็ยังกลับไปหาประชาชนได้
นายพิธา กล่าวว่า ที่ผ่านมา ใครๆ ก็บอกว่าถ้ามีคอร์รัปชั่น ต้องมีการทำรัฐประหาร ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ป่านนี้ประเทศไทยต้องไม่มีคอรัปชั่นแล้ว เพราะรัฐบาลทหารเยอะขนาดนี้ แล้วรัฐบาลทหารนั้นตรวจสอบได้หรือไม่ ยึดโยงกับประชาชนหรือไม่ ดังนั้น ถ้าจะกำจัดวงจรอุบาทว์ของความเหลื่อมล้ำ ต้องทำให้ประชาธิปไตยเข็มแข็ง เปิดโอกาสให้ระบบได้ทำงานอย่างเต็มที่ หากพรรคการเมืองของตนไม่สามารถทำให้ระบบรัฐสภาตอบสนองประชาชน วงจรอุบาทว์เดิมก็จะกลับมา แล้วการที่บอกว่าจะใช้ระบบนอกรัฐสภาเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนั้น เป็นมายาคติที่ต้องเลิก เพราะในยุคของเราได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่ระบบที่ดี จึงขอให้สังคมให้โอกาสประชาธิปไตย
“เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจอยู่กับคนไม่กี่ตระกูล ทำให้การพัฒนาประเทศไม่มีเสถียรภาพ เมื่อการเมืองไม่มีเสถียรภาพ พวกเรารู้สึกเบื่อ ไม่อยากฟัง ไม่สนใจ ไปตามในสิ่งที่เขาอยากให้เราตาม เช่น ใครด่าใคร ใครแต่งตัวอย่างไร ทำให้เราลืมเรื่องงบประมาณ ลืมเรื่องเหมืองแร่ ดังนั้น หน้าที่ของพวกเราจึงต้องเชื่อในระบอบประชาธิปไตยและปล่อยให้มันวิ่ง เปลี่ยนจากประชาชนเป็นพลเมือง ติดตามเนื้อหาตลอดเวลา และ ไม่หลงประเด็น” นายพิธา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี