ศาลชั้นต้น ยกฟ้อง 24 แกนนำนปช.คดีก่อการร้ายปี’53ชี้ชุมนุมตามสิทธิ์ ไร้หลักฐานใช้ความรุนแรง แค่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขณะที่“ณัฐวุฒิ”บอกเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม เวลา 10.30 น.ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาให้ยกฟ้อง 24 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันก่อการร้าย ที่กลุ่มนปช.ได้เคลื่อนไหวในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานถึงเหตุให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด โดยระบุว่า เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีพยานใดยืนยันว่าการกระทำตามที่โจทก์นั้นนปช.คนใด ดำเนินการอย่างไรที่จะเป็นความผิดก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1,135/2ที่จะมีเจตนาพิเศษถึงขนาดเปลี่ยนแปลงกานปกครอง เพียงแต่นำสืบฟังได้ว่า เป็นการชุมนุมทางการเมือง ที่เป็นกรณีเกิดความขัดแย้ง ของการเมืองไทยมาตั้งแต่ก่อนปี 2548 ในช่วงของรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตรซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีกลุ่ม ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ซึ่งดำเนินการลักษณะของการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองลักษณะคล้ายกัน โดยในการชุมนุมของ นปช.ก็ได้ประกาศเปิดเผยโดยชัดเจนมาตลอดว่าได้ดำเนินการรวมตัวกันโดยสงบสันติและปราศจากอาวุธ วันที่เกิดเหตุการณ์ในแต่ละสถานที่นั้น ขณะที่หากมีการกระทำผิดเป็นรายบุคคลก็ต้องพิจารณาดำเนินคดีเป็นรายๆพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังไม่เพียงพอฟังได้ว่ากระทำผิด
คดีนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธาน นปช.นายจตุพร พรหมพันธุ์ อายุ54ปี ประธาน นปช.,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 44ปี เลขาธิการ นปช.ฯลฯรวมจำเลย 24คนในความเกี่ยวกับความมั่นคงถึง 6 ข้อหาแต่เน้นหนักที่ข้อหาก่อการร้ายซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดและประกันรายละ6แสนบาทออกมาต่อสู้คดี ซึ่งมีถึง 4 สำนวน ใช้เวลาพิจารณาพยานหลักฐานและสืบพยานบุคคล มานานร่วม 9 ปี ซึ่งเริ่มสืบพยานโจทก์ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.55 และเริ่มสืบพยานจำเลยปี 2562
โดยฟ้องของโจทก์ระบุพฤติการณ์กล่าวหาสรุปว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ.-20 พ.ค.53ต่อเนื่องกัน จำเลยกลุ่มใส่เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ร่วมกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลหรือเสธ.แดงซึ่งถึงแก่ความตายได้ยุยงปลุกปั่นประชนทั่วราชอาณาจักรไทยให้เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและบังคับขู่เข็ญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นให้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
นอกจากนี้จำเลยกับพวก ยังได้สะสมกำลังพลและอาวุธสงครามร้ายแรง มีการฝึกกำลังคนและฝึกการใช้อาวุธใช้ชื่อ”กลุ่มนักรบพระเจ้าตาก”,”กลุ่มนักรบโรนิน”,”กลุ่มนักรบพระองค์ดำ”เพื่อการก่อการร้าย เคลื่อนไหวดาวกระจายไปหลายพื้นที่ทั้งใช้อาวุธสงครามหลายครั้ง มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายหลายคน
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 นายอภิสิทธิ์ นายกฯได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 มาตร5,11โดยความเห็นชอบของ ครม. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กทม.,ปริมณฑลและจังหวัดอื่นๆ โดยห้ามไม่ให้ชุมนุมหรือมั่วสุมเกิน5คนขึ้นไปฯลฯ แต่ฝ่ายจำเลยยังเคลื่อนไหวต่อเนื่องกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ จนเมื่อวันที่ 19-20 พ.ค.53รัฐบาลได้ดำเนินการกระชับพื้นที่และกดดัน ให้จำเลยกับพวกผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และยุติการชุมนุม แต่จำเลยกับพวกมีการสะสมกำลังพลและมีอาวุธสงครามร้ายแรงต่อสู้ขัดขวาง ใช้ปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงาน และวางเพลิง
หลังฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนายณัฐวุฒิ กล่าวว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่ากลุ่มนปช.ไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย แต่เป็นการต่อสู้เรียกร้องตามหลักการประชาธิปไตยซึ่งคำพิพากษา) ถือว่ามีความยุติธรรมที่ให้โอกาสกลุ่มแนวร่วม ส่วนนายจตุพรได้กล่าวขอบคุณศาล ที่เมตตา ขอบคุณประชาชนและขอบคุณญาติของวีรชนและผู้เสียสละทุกราย
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกายกฟ้องแกนนำ นปช.ว่าเป็นเรื่องของศาลที่ว่าตามพยานหลักฐาน และไม่ใช่เป็นบรรทัดฐานให้ใคร แต่การตัดสินเป็นไปตามพยานหลักฐานที่สอดคล้องกัน เป็นการต่อสู้กันทางศาล กรณีเช่นนี้เมื่อไม่มีความผิด ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ก็ไม่เห็นออกมาบอกว่าศาลไม่ยุติธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี