ผู้ตรวจการฯขอเวลา15วัน
สอบประยุทธ์
ประเด็นถวายสัตย์ไม่ครบ
ชี้มูลเหตุเนื้อหาไม่ซับซ้อน
ยังไม่รู้ส่งศาลรธน.หรือไม่
พรรคฝ่ายค้านจ่อยื่นซักฟอก
ยกม.152ไม่ต้องโหวตลงมติ
7 พรรคร่วมฝ่ายค้านจ่อยื่นญัตติอภิปรายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่ลงมติตามมาตรา 152ของรัฐธรรมนูญ ระบุหาทางออกให้นายกฯ ป้องกันความเสียหายการอนุมัติเรื่องต่างๆ ของรัฐบาลที่เสี่ยงโมฆะ ในขณะที่ “วิษณุ” จวกอย่าตีตนไปก่อนไข้ เพราะเรื่องอยู่ในขั้นตอนของผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้าน “บิ๊กป้อม”นั่งประธานยุทธศาสตร์พปชร.นัดถกแกนนำ 20สิงหาคมนี้ ป้องกันฝ่ายค้านตีท้ายครัวในสภา
เมื่อวันที่ 15สิงหาคม 7พรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมแถลงว่า เวลา 08.30น.วันที่ 16สิงหาคม พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา152 ของรัฐธรรมนูญต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา เพื่อให้ข้อสงสัยเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจน เนื่องจากหากปล่อยไว้จนถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แล้วศาลปกครองมีคำวินิจฉัยออกมาไม่เป็นคุณ อาจก่อให้เกิดความเสียหายจากการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลที่สุ่มเสี่ยงเป็นโมฆะ ญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไป จะไม่ใช่เพียงประเด็นการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่รัฐบาลกระทำส่อขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการแถลงนโยบายรัฐบาลที่ไม่ระบุถึงที่มาของแหล่งที่มาของเม็ดเงินที่จะนำมาบริหารนโยบาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องมาชี้แจงด้วยตนเอง
อ้างเพื่อหาทางออกให้นายกฯ
ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุว่าเรื่องการถวายสัตย์ได้ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน และสะท้อนให้เห็นว่านายกรัฐมนตรียังไม่มีความเข้าใจระบบรัฐสภา เพราะตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลจะต้องชี้แจงการบริหารงานต่อสมาชิก
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนี้เป็นการหาทางออกให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านไป
‘สมพงษ์’บอกเป็นเรื่องสำคัญ
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพท.กล่าวว่า การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์แห่งข้อเท็จจริง ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็ได้ประโยชน์เพราะจะได้ชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจชัดเจน ทั้งนี้ ตนเห็นว่าประเด็นการถวายสัตย์ของนายกฯ เป็นเรื่องสำคัญไม่แตกต่างจากความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องอื่นๆ หากข้อกังขาในการทำผิดรัฐธรรมนูญยังอยู่ ประชาชนยังไม่ได้รับความกระจ่างก็ถือว่าเดือดร้อนเหมือนกัน หากผิดรัฐธรรมนูญจริงสิ่งต่างๆที่รัฐบาลดำเนินการไปก็จะยุ่งยากวุ่นวาย ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน
‘วิษณุ’ชี้ให้ใครตอบแทนก็ได้
ในประเด็นดังกล่าวนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯระบุว่า า ต้องขอดูญัตติก่อน การยื่นญัตติสามารถทำได้ตาม มาตรา 151 คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใครโดนญัตตินี้อย่างไรก็ต้องไป แต่ถ้าเป็นญัตติการเปิดอภิปรายทั่วไป สอบถามปัญหาข้อเท็จจริง ถ้าเกี่ยวพันกับใคร หรือใครรู้ก็ต้องไปตอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการมอบหมาย แต่เป็นการถามรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลสามารถมอบหมายตัวแทนได้ การยื่นญัตติทั้ง 2 อย่าง สามารถทำได้ครั้งเดียวในรอบ 1 ปี คือ ภายใน 365 วัน และสมาชิกวุฒิสภาก็สามารถยื่นได้
เมื่อถามว่า เรื่องการถวายสัตย์ฯอยู่ในการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีไม่ควรไปตอบหรือชี้แจงต่อสภาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงไม่ทราบ แต่ได้ยินมาว่ามีการยื่นเรื่องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และอีกฝ่ายหนึ่งไปยื่นเรื่องที่อัยการสูงสุด โดยข้อหาที่ต่างกัน แต่เป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่รัฐบาลยังไม่ได้รับเรื่องเหล่านี้ เลยยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินและอัยการสูงสุดรับเรื่องไว้ แล้วรัฐบาลมีหน้าที่ไปชี้แจงใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะไปหรือไม่ไป ซึ่งนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ตอบเรื่องนี้ ตนก็ขอไม่ตอบ และไม่ให้ความเห็น ส่วนที่ฝ่ายค้านต้องการให้เรื่องดังกล่าวผ่านการชี้แจงต่อสภาฯ ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องเหล่านี้มีช่องทางอยู่แล้ว และรัฐบาลไม่จำเป็นต้องหารือกับผู้ตรวจการแผ่นดินและที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำ
“ที่ผ่านมาผู้ตรวจฯรับเรื่องวิฉัยเอง ไม่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญก็เคยมีหรือผู้ตรวจฯ จะไม่รับก็ได้ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่อย่าเพิ่งไปตีตนก่อนไข้ว่าจะไปถึงขั้นนั้น ขอรอดูแล้วกัน” นายวิษณุ กล่าว.
“ชวน”ไม่ขอออกความเห็น
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงกรณีที่ 7 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน เตรียมเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรี กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภานั้น รัฐบาลไม่มีการระบุที่มารายได้ที่จะนำมาดำเนินโนบายต่าง ๆ โดยระบุเพียงว่า ยังไม่เห็นญัตติดังกล่าวของฝ่ายค้าน จึงยังไม่ขอออกความเห็นใด ๆ หรือจะบรรจุญัตติเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลยหรือไม่
ยอมรับสภาใหม่ยังไม่พร้อม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อภิปรายแสดงความเห็นถึงความไม่พร้อมของการใช้ห้องประชุมจันทรา รัฐสภาใหม่ ที่มีปัญหาเรื่องห้องน้ำ ห้องอาหาร นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมทีมงาน จึงลงมาตรวจสอบด้วยตนเอง
นายชวน กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการยืมห้องประชุมจันทราของวุฒิสภามาใช้ชั่วคราว ในขณะที่สภาฯ ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงมีปัญหาความไม่พร้อม 100% และความสะดวก แต่สิ่งสำคัญคือห้องประชุมที่ใช้และเครื่องลงคะแนนมีความพร้อม ส่วนอุปสรรคอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาส่วนตัว เช่น ห้องน้ำที่ไม่พร้อม ก็เข้าใจ เพราะมีคนใช้จำนวนมาก แต่ขออย่าให้เป็นเงื่อนไขในการทำงาน รวมถึงกรณีที่ ส.ส.เข้าห้องประชุมไม่ทัน เนื่องจากไม่มีการสื่อสาร ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการก่อสร้างตามแปลนเดิม ที่ไม่สามารถไปต่อเติมอะไรได้ แต่ได้ให้เลขาธิการสภาฯ ดูว่ามีส่วนใดบกพร่อง และพอที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ดำเนินการ ซึ่งแม้จะดูว่าไม่สะดวก แต่สำหรับชาวบ้าน ก็เห็นว่าสภาแห่งนี้สบายที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร จึงได้ขอร้อง ส.ส.ว่าให้อยู่ใกล้ห้องประชุม เพราะหน้าที่ของ ส.ส. คือ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว
ไม่ได้เป็นอุปสรรคการทำงาน
“อย่าลืมว่าสภายังไม่เสร็จ ที่เราใช้อยู่นี้ยังไม่เสร็จ ปกติ ส.ส.ต้องอยู่ในห้องประชุม มีปัญหาคือคนออกไปนอกห้องประชุม แต่ได้ให้เวลารอ เวลามีการลงมติให้กลับเข้าห้องประชุม จนกระทั่งถามว่ามีปัญหาหรือไม่ มีผู้แสดงตนอีกหรือไม่ ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น” นายชวน กล่าว
นายชวน ยังยืนยันว่า ปัญหาความไม่พร้อมไม่ได้เป็นอุปสรรคทำให้ ส.ส.รัฐบาลแพ้การลงมติในร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการฯ ที่ ส.ส.เสนอปรับแก้ถ้อยคำ แต่ก็รู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดเสียงลงมติจึงไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการฯ ห่างกัน ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับกรรมาธิการ
“บิ๊กป้อม”คุมยุทธศาตร์ พปชร.
วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีฝ่ายค้านชนะโหวตข้อบังคับฝ่ายรัฐบาลครั้งที่ 2 ด้วยคะแนน 234 ต่อ 223 จะมีการกำชับ ส.ส.พรรครัฐบาลอย่างไรบ้าง ว่า ขอไปดูก่อน ยังไม่ได้ทำงานเลย ยังไม่ได้รับหน้าที่เลย แล้วก็ขอให้รับหน้าที่ก่อน โดยจะเข้าประชุมส.ส.พรรคพลังประชารัฐในวันอังคารที่ 20 ส.ค.นี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงรายชื่อคณะทำงานประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตร ที่ปรากฎออกมาตามสื่อต่างๆ พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่ามีใครบ้าง ผู้สื่อข่าวตอบว่ามี นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น พล.อ.ประวิตร ได้พยักหน้าและยิ้ม พร้อมกล่าวว่า เดี๋ยวบอก
พปชร.ส่งเอกสาร3คันรถแจงหุ้นสื่อ
ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้นำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานของ 20สส.พรรคพปชร.และของนายสมเกียรติ ศรลัมม์ ส.ส.พรรคประชาภิวัฒน์ มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลา 30วัน ที่ขอขยายยื่นคำชี้แจงในวันที่ 17ส.ค.โดยเอกสารมี 510แฟ้ม ขนมาด้วยรถบิ๊กอัพ 3คันรถ
นายทศพล กล่าวว่า เอกสารหลักฐานที่นำส่งเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่า ส.ส.พรรคพปชร. ทั้ง 21 คนไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อ แม้ในบางรายจะมีระบุอยู่ในวัตถุประสงค์ของบริษัท แต่ในการประกอบกิจการจริง ก็ไม่ได้มีการผลิตสื่อ ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีการถือครองหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และผู้สมัครของพรรค อนค.ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อจริงและมีรายได้จากธุรกิจสื่อ ขณะที่ส.ส.ของพปชร.ไม่เคยประกอบธุรกิจสื่อ รวมถึงไม่มีรายรับจากธุรกิจสื่อ ซึ่งหลักฐานที่นำมายื่นมี 3ส่วนหลัก คือ แบบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท (สสช1.) แบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) และเอกสารงบดุลบริษัท รวมทั้งภาพถ่ายการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน อย่างเช่น กรณีของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ประกอบธุรกิจ ฟาร์ม และธุรกิจอาหารแช่แข็งนายอนุชา นาคาศัย มีโรงฆ่าสัตว์ และโรงงานแปรรูปหนังสัตว์ จึงได้แนบภาพถ่ายเพื่อยืนยันรูปแบบการประกอบกิจการให้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับทราบ
“พรรคเน้นว่าถ้าหากประกอบธุรกิจสื่อจริงก็ต้องมีการทำธุรกิจสื่อมาก่อนแล้วและมีรายได้ แต่ส.ส.ของพรรคไม่มีใครที่เข้าข่ายดังกล่าวเลย ไม่เหมือนกับส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ 2คน ที่ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อจริง และมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าว ซึ่งพรรคได้มีการนำรายงานการประชุม ของสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 นำมาใช้เป็นหลักในการพิจารณา ในการกำหนดห้าม ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุว่า จะต้องดูว่ามีการประกอบธุรกิจสื่อจริงหรือไม่ เพื่อให้ศาลได้เห็นกระบวนการทั้งหมดในการออกกฎหมายฉบับนี้ด้วย”นายทศพล กล่าว และว่า ทางพรรคไม่ได้ขอให้ศาลออกนั่งบัลลังไต่สวน แต่ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของส.ส.ที่ถูกร้องเพื่อจะได้เห็นข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อจริง
เตรียมยื่นเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง
นายทศพล ระบุด้วยว่า จะยังมีการยื่นเอกสารเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง เนื่องจากสส.ผู้ถูกร้องบางคนเช่น นายสุชาติ ชมกลิ่น นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ นายสมเกียรติ เนื่องจากยังรอเอกสารจากหน่วยงานของรัฐทั้งกรมศิลปากร ในเรื่องการออกใบอนุญาตจัดทำสิ่งพิมพ์ และคณะกรรมการกิจกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.)ในเรื่องใบอนุญาตจัดสรรคลื่นความถี่ที่ยื่นขอไป นอกจากนี้ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้ทนายความนำหลักฐานและคำชี้แจงกรณีถูกร้องว่าประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่าบริษัทที่นายเทวัญ เคยถือหุ้นไม่เคยประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชน ตั้งแต่จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท เพื่อค้าขายอสังหาริมทรัพย์ และตลอดระยะเวลากว่า 10ปี ไม่เคยประกอบธุรกิจสื่อเลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี