วันนี้ (20 สิงหาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สลค. เสนอว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 วรรคสอง บัญญัติให้ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง และต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป ดังนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 จึงเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง และจะครบกำหนดสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาหนึ่งร้อยยี่สิบวันในวันที่ 18 กันยายน 2562 จึงสมควรให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562
เศรษฐกิจ - สังคม
2. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี 2562 - 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวปี 2562 - 2563 ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1.1 ให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยสถานพยาบาลที่ สธ. กำหนด หรือสถานพยาบาล ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลดำเนินการ
1.1.1 ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามที่อายุไม่เกิน 18 ปี
1.1.2 ประกันสุขภาพในกรณีที่แรงงานต่างด้าวทำงานในกิจการที่เข้าระบบประกันสังคมแต่สิทธิประกันสังคมยังไม่มีผล หรือกรณีแรงงานต่างด้าวทำงานในกิจการที่ไม่เข้าระบบประกันสังคม
1.1.3 ประกันสุขภาพผู้ติดตามที่อายุไม่เกิน 18 ปี
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว พ.ศ 2562 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขว่าด้วยใบรับรองแพทย์ของคนประจำเรือเพื่อแสดงว่ามีความพร้อมด้านสุขภาพในการทำงานบนเรือและเฝ้าระวังโรคป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อที่รุนแรงและก่อให้เกิดโรคระบาดผิดปกติ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ 2558
1.2 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการตรวจอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามที่อายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปได้ครั้งละไม่เกิน 1 ปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาอนุญาตแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้แรงงาน ต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปได้อีกไม่เกิน 1 ปี และผู้ติดตามจะได้รับอนุญาตตามระยะเวลาที่บิดาหรือมารดาได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
กรณีเอกสารประจำตัวของแรงงานต่างด้าวมีอายุเหลือน้อยกว่า 1 ปี ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปเท่ากับอายุเอกสารประจำตัว หากแรงงานต่างด้าวประสงค์จะอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไป ต้องไปดำเนินการขอมีเอกสารประจำตัวฉบับใหม่กับหน่วยงานของประเทศต้นทาง เมื่อแรงงานต่างด้าวได้รับเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองย้ายรอยตราประทับอนุญาตไปยังเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ และขยายระยะเวลาการอนุญาตให้ตามสิทธิ
1.3 ให้ รง. โดยกรมการจัดหางานดำเนินการ
1.3.1 ออกใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 59 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ให้กับแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) มีระยะเวลาอนุญาตไม่เกิน 2 ปี โดยใบอนุญาตทำงานจะอยู่ด้านหนึ่งของบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
1.3.2 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวที่นำเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศได้รับยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560
1.4 ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร (กทม.) ดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
1.5 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 หรือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยสถานที่ดำเนินการมี 2 รูปแบบ คือ
1.5.1 ที่ตั้งสำนักงานของแต่ละหน่วยงาน
1.5.2 ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ (1) กทม. ให้เป็นไปตามอธิบดีกรมการจัดหางานกำหนด (2) จังหวัด ให้เป็นไปตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด ทั้งนี้ สถานที่ดำเนินการในลักษณะศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) จะพิจารณาในกรอบระยะเวลาระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563
1.6 ให้ รง. โดยกรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานหลัก และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แนวทางการบริหารจัดการดังกล่าวให้นายจ้างผู้ประกอบการแรงงานต่างด้าว และผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องและทั่วถึง
1.7 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบปราบปราม จับกุมดำเนินคดี นายจ้าง แรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
2. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษ และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวที่นำเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศได้รับยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอและให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี 2562 – 2563 เป็นการกำหนด ดังนี้
1.1 กลุ่มเป้าหมาย : แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) โดยมีเงื่อนไข คือ (1) ใบอนุญาตทำงานและการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่หมดอายุ (2) ถือเอกสารประจำตัว ได้แก่ หนังสือเดินทาง (Passport : PP) เอกสารเดินทาง (Travel Document : TD) เอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity : CI) หนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport : TP) หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางที่ยังมีอายุเหลืออยู่ในวันที่ไปยื่นขออนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป
1.2 ลักษณะการดำเนินการ : เป็นการดำเนินการในลักษณะเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้องเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะดำเนินการตามแนวทางนี้ ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานก่อนที่ระยะเวลาการอนุญาตทำงานเดิมจะสิ้นอายุ และกระบวนการดำเนินการให้คำนึงถึงความสะดวก ลดการใช้เอกสาร รวมทั้งมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
1.3 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร : ไม่เกิน 2 ปี โดยประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรต่อไป (ขออยู่ต่อ) ครั้งละไม่เกิน 1 ปี
1.4 การอนุญาตทำงาน : ไม่เกิน 2 ปี โดยแยกเป็น 2 ห้วงเวลา ดังนี้ (1) ใบอนุญาตทำงานหมดอายุก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2563 ให้อนุญาตทำงานได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เท่ากันทุกคน (2) ใบอนุญาตทำงานหมดอายุตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ให้อนุญาตทำงานได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 เท่ากันทุกคน
1.5 ภายหลังวันที่ 30 กันยายน 2564 หรือวันที่ 31 มีนาคม 2565 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่ดำเนินการตามแนวทางนี้ หากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยต่อไป ต้องดำเนินการตามกระบวนการนำเข้ามาทำงานในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU)
1.6 ระยะเวลาดำเนินการ : วันที่ 19 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 หรือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งแรงงานต่างด้าวจะต้องมายื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวสามารถยื่นคำขออยู่ต่อในราชอาณาจักรกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ภายใน 90 วันทำการ ก่อนระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรจะสิ้นสุด
1.7 วิธีดำเนินการ : ให้นำกระบวนการ แนวทาง วิธีการเข้ามาทำงานในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) มาปรับใช้เพื่อความเหมาะสมตามแนวทาง ขั้นตอนและวิธีการที่กระทรวงแรงงานกำหนด
1.8 นายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ยื่นเอกสารเพื่อแสดงถึงการได้รับอนุญาตทำงานและการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ได้แก่ บัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าว (Name List) สัญญาจ้าง สำเนาหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง สำเนาใบอนุญาตทำงานหรือหลักฐานการได้รับอนุญาตทำงานกับหน่วยงานของกรมการจัดหางาน
1.9 ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษ กำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อการทำงาน ให้ถือว่าเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ เป็นกรณีพิเศษ
1.10 ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวที่นำเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศได้รับยกเว้นไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (1) กำหนดให้คนต่างด้าวที่ถือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางหรือหนังสือรับรองสถานะบุคคลที่กระทรวงการต่างประเทศให้การรับรองและได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ เป็นคนต่างประเทศ ซึ่งผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานจะนำมาทำงานกับนายจ้างในประเทศหรือนายจ้างจะนำมาทำงานกับตนในประเทศ โดยได้รับยกเว้นให้ใช้เอกสารดังกล่าวแทนหนังสือเดินทางเพื่อขออนุญาตทำงานได้ (2) กำหนดให้ผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานหรือนายจ้าง แล้วแต่กรณี แจ้งเลขที่เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางหรือเลขที่หนังสือรับรองสถานะบุคคลของคนต่างด้าว
3. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 ภายในวงเงิน 536,435,800 บาท เพื่อนำไปจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2561 โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ทั้งนี้ กษ. ต้องกำกับติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (11 เมษายน 2560) เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) จำนวน 3 โครงการ ระยะเวลา 5 ปี (ปี 2560 - 2564) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 25,871.142 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ วงเงิน 9,696.522 ล้านบาท โดยโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกร 15 กิโลกรัม/ไร่ และอุดหนุนเงินชดเชยรายได้จากการผลิตข้าวที่ได้ผลผลิตลดลง ในระยะเวลาเริ่มต้นของการผลิตระบบอินทรีย์ให้แก่เกษตรกรรายละไม่เกิน 15 ไร่ ไร่ละ 9,000 บาท แบ่งจ่าย 3 ปี ตามระยะการประเมิน โดยมีการดำเนินการเพื่อเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ระหว่างกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์กับผู้แปรรูปโดยการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการซื้อข้าวอินทรีย์เพื่อนำไปแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
2. ผลการดำเนินงาน ได้มีการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรกลุ่มที่ผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์เตรียมความพร้อม (T1) ไปแล้ว จำนวน 618.472 ล้านบาท โดยใช้เงินจาก 3 แหล่ง คือ (1) งบประมาณ ปี 2561 ที่กันไว้จ่ายเหลื่อมปี จำนวน 4.750 ล้านบาท (2) งบประมาณ ปี 2562 จำนวน 599.924 ล้านบาท และ (3) งบประมาณการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี 2562 จำนวน 13.776 ล้านบาท สำหรับการจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตรกรกลุ่มที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) และกลุ่มที่ได้รับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (T3) จำนวน 536.436 ล้านบาท ที่ได้ดำเนินการในปี 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยมีรายละเอียดการจ่ายเงินอุดหนุนของการดำเนินงาน ดังนี้
กลุ่มเกษตรกร |
จำนวนเกษตรกร (ราย) |
พื้นที่ได้รับเงินอุดหนุน (ไร่) |
เงินอุดหนุน (ล้านบาท) |
การดำเนินการ |
1. กลุ่มเตรียมความพร้อม (T1) |
32,372
|
309,235.75
|
618.472
|
เบิกจ่ายให้เกษตรกรเรียบร้อยแล้ว |
2. กลุ่มที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) |
17,658 |
167,524.60 |
502.574 |
เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการสำรองจ่ายฯ ในครั้งนี้ |
3. กลุ่มที่ได้รับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (T3) |
926 |
8,465.50 |
33.862 |
คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวในการประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับเกษตรกรกลุ่ม T2 และ T3 ข้างต้นแล้ว และต่อมาคณะทำงานบริหารจัดการเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ได้มีมติอนุมัติบัญชีรายชื่อเกษตกรของเกษตรกรกลุ่ม T2 และ T3 เพื่อรับเงินอุดหนุน ปี 2561 โดยมีกำหนดจะเบิกจ่ายเงินอุดหนุนในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562 ทั้งนี้ การของบประมาณจำนวนดังกล่าวยังอยู่ในกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560
4. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงเทพมหานคร ในปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ของ กก. โดยกรมพลศึกษา ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 2 กันยายน 2562 ณ กรุงเทพมหานคร โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของ กก. โดยกรมพลศึกษา จำนวน 7,860,000 บาท ทั้งนี้ ประมาณการรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 431,640 บาท จะส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า
1. ปัจจุบันประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย (Asian Schools Football Federation : ASFF) วาระ 2 ปี (พ.ศ. 2561 – 2562) โดยสหพันธ์ฯ มีรายละเอียด ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อพัฒนากีฬาฟุตบอลระดับนักเรียนในภูมิภาคเอเชีย โดยการจัดการแข่งขันและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีและมิตรภาพระหว่างเยาวชนโดยผ่านการแข่งขันกีฬาระดับโรงเรียน |
ประเทศสมาชิก |
13 ประเทศ ได้แก่ เนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศไทย |
การจัดการแข่งขันฟุตบอล |
- จัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2513 และจัดมาแล้ว 46 ครั้ง โดยไทยเคยเป็นเจ้าภาพ 9 ครั้ง - จัดการแข่งขันฟุตบอลอายุไม่เกิน 15 ปี ทุก ๆ 2 ปี ตั้งแต่ปี 2547 และจัดมาแล้ว 12 ครั้ง โดยไทยเคยเป็นเจ้าภาพ 4 ครั้ง ทั้งนี้ ประเทศไทยจัดส่งคณะนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทุกครั้ง |
2. อธิบดีกรมพลศึกษาในฐานะประธานสหพันธ์ฯ และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2561 ณ เมืองอัครา สาธารณรัฐอินเดีย โดยที่ประชุมมีมติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของการจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชียภายใต้สหพันธ์ฯ
3. การแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหพันธ์ฯ การประชุมคณะกรรมการเทคนิคของสหพันธ์ฯ การประชุมผู้จัดการทีม และการประชุมผู้ตัดสิน จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 2 กันยายน 2562 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
||||||||||||||||
ผู้เข้าร่วมงาน |
ผู้บริหารหรือผู้แทนประเทศสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชียเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ฯ และคาดว่าจะมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 7 ทีม จาก 7 ประเทศ (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประเทศมาเลเซีย เขตบริหารพิเศษมาเก๊า และประเทศไทย) โดย 1 ทีม ประกอบด้วย นักกีฬา 14 คน หัวหน้าคณะนักกีฬา 1 คน ผู้จัดการทีม 1 คน ผู้ฝึกสอน 3 คน ผู้ตัดสิน 1 คน และแพทย์ประจำทีม 1 คน รวม 21 คนต่อทีม |
||||||||||||||||
ผลกระทบเชิงบวกต่อผลประโยชน์และภาพลักษณ์ของประเทศ |
1. เป็นการแสดงบทบาทและศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬานักเรียนและการประชุมองค์กรกีฬานักเรียนในระดับนานาชาติ 2. เป็นเวทีสำหรับเยาวชนไทยสามารถเสริมสร้างประสบการณ์การแข่งขัน ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาทักษะด้านกีฬาให้กับนักเรียนไทยเพื่อให้สามารถยกระดับการเล่นกีฬาสู่มาตรฐานสากลต่อไป รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสมรรถนะด้านกีฬา และกระชับความสัมพันธ์ มิตรภาพ ส่งเสริมความเข้าใจอันดี และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย 3. เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นในความมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศไทยต่อประชาคมโลก 4. เป็นโอกาสการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย สร้างการรับรู้ข้อมูล แหล่งท่องเที่ยว ประเพณี วัฒนธรรมของประเทศไทยต่อนานาชาติ |
||||||||||||||||
ค่าใช้จ่ายและแหล่ง ที่มา |
7,860,000 บาท จากงบประมาณของ กก. โดยกรมพลศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬานักเรียนเพื่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ |
||||||||||||||||
ประมาณการรายรับ |
เก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จากประเทศสมาชิกสหพันธ์ฯ ที่จัดส่งคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 431,640 บาท โดยประมาณการรายรับทั้งหมดจะส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป (อัตราตามที่กำหนดไว้ในธรรมนูญของสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย) |
||||||||||||||||
|
รายละเอียด
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 33 บาท |
ทั้งนี้ ธรรมนูญของสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย (Constitution of the Asian Schools Football Federation)1 กำหนดให้ประเทศเจ้าภาพจะต้องมีหนังสือแจ้งยืนยันกำหนดการและสถานที่ก่อนการจัดการแข่งขันอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนการแข่งขัน ในการนี้ กก. โดยกรมพลศึกษาจึงมีหนังสือเชิญประเทศสมาชิกสหพันธ์ฯ เพื่อจัดส่งคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมการแข่งขันและการประชุมดังกล่าวแล้ว
4. การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงเทพมหานคร เป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนากีฬานักเรียนเพื่อการแข่งขันในระดับนานาชาติในปี 2562 ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาการกีฬาของรัฐบาลโดยยึดหลักยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 และแผนยุทธศาสตร์ด้านกีฬาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
-----------------------------------
1 กฎ ระเบียบที่มีการตกลงร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนักเรียนแห่งเอเชีย
5. เรื่อง ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ดังนี้
- รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
- ให้ อปท. ให้ความสำคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท.และนำผลการประเมินและรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ไปใช้ปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของ อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท.
- ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) นำผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ อปท. มีการยกระดับผลการประเมินให้สูงขึ้นตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 – 2580) พร้อมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเองของ อปท. อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานรายละเอียดในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมสำนักงาน ป.ป.ช. โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
สาระสำคัญของเรื่อง
ปฏิบัติการเพื่อดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 7,851 หน่วยงาน (ยกเว้นกรุงเทพมหานครซึ่งมีการประเมินและเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้วเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562) ซึ่งจากผลการประเมินฯ สรุปได้ว่า ค่าคะแนนการประเมินฯ การดำเนินงานของ อปท. (ประกอบด้วย 10 ตัวชี้วัด) ได้ 61.11 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (85 คะแนนขึ้นไป) โดยตัวชี้วัดคุณภาพการดำเนินงานมีระดับค่าคะแนนสูงสุด คือ 78.62 คะแนน ส่วนตัวชี้วัดการป้องกันการทุจริตมีระดับค่าคะแนนต่ำสุด คือ 35.99 คะแนน และได้จัดทำรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งได้มีการรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ จาก อปท. พบว่า มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานหลายประการโดยมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา เช่น
ปัญหา |
ข้อเสนอแนะ |
(1) มีการให้บริการที่ไม่เท่าเทียม เสมอภาค และไม่สามารถตอบสนองต่อผู้รับบริการทุกกลุ่ม (2) มีการเรียกรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินบน เพื่อแลกกับการอนุมัติ อนุญาต |
(1) ควรเสริมสร้างและพัฒนาระบบการให้บริการโดยมีการเปิดเผยขั้นตอนและวิธีการการให้บริการเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจและลดโอกาสการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่ (2) การบูรณาการและจัดระบบงานให้บริการที่สะดวกเพื่อลดระยะเวลาและเอกสารหลักฐานที่
เกี่ยวข้องกับการขออนุมัติ อนุญาต และการรับบริการสาธารณะ |
(3) อปท. ยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ มีการถูกร้องเรียนว่าใช้งบประมาณไม่คุ้มค่าบิดเบือนไปจากวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ |
ควรมีการกำหนดมาตรการในการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวข้องกับงบประมาณ |
(4) อปท. มีรูปแบบหลากหลายและแตกต่างกัน เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีการกำหนดหน้าที่และอำนาจซ้ำซ้อนกัน เช่น ถนน ถนนคนเดิน การจัดการแหล่งน้ำสาธารณะ ตลาด |
กำหนดรูปแบบของ อปท. ให้มีความชัดเจนกำหนดหน้าที่และอำนาจให้มีความชัดเจนไม่ทับซ้อนกัน |
(5) การจัดสรรสัดส่วนรายได้ให้ อปท. ยังคงไม่บรรลุสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ ร้อยละ 35 ของรายได้สุทธิของรัฐบาล (ปี 2561 สัดส่วนรายได้ อปท. ต่อรัฐบาล ร้อยละ 29.47) |
การเพิ่มรายได้ของ อปท. โดย (1) รัฐต้องส่งเสริมและสนับสุนนวัตกรรมการสร้างและพัฒนาแหล่งรายได้ของ อปท. เพื่อให้ อปท. สามารถพัฒนารายได้ของตนเองอย่างเพียงพอและยั่งยืน สำหรับจัดทำบริการสาธารณะ เช่น จัดตั้งกองทุนพัฒนาการปกครองท้องถิ่นแห่งชาติ (2) ให้ อปท. มีการจัดเก็บรายได้จากแหล่งใหม่ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก |
(6) วิธีการจัดสรรรายได้ถูกจำกัดด้วยข้อมูลและตัวแปรจะนำมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณโดยการจัดสรรตามสูตรที่มีตัวแปรด้านประชากรและขนาดพื้นที่เป็นสำคัญ ซึ่งตัวแปรดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนความต้องการงบประมาณที่แท้จริงในแต่ละพื้นที่ |
ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้กับ อปท. โดยพิจารณาตามศักยภาพของแต่ละ อปท. เช่น รายได้ จำนวนประชากร พื้นที่ ความหนาแน่น ของประชากรและประชาการแฝง เพื่อแก้ไขปัญหาความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ |
ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบผลการประเมินฯ และรายงานการศึกษาดังกล่าวแล้ว โดยได้มีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประเมินฯ และให้ อปท. ให้ความสำคัญกับการประเมินฯ และนำผลการประเมินฯ ไปใช้ปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของ อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) นำผลการประเมินฯ ไปพิจารณาดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ อปท. มีการยกระดับผลการประเมินให้สูงขึ้นตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 – 2580) พร้อมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเองของ อปท.อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
6. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2562 ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้มีการประชุม ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุมภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นประธานนั้น สรุปสาระสำคัญและมติที่ประชุม ดังนี้
1. ที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญดังต่อไปนี้
ที่ 164/2562 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และกรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นกรรมการและเลขานุการ และเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
1.1.2 คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาเกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ตลอดจนประเมิน วิเคราะห์ และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางตัดสินใจเชิงรุกในประเด็นหรือนโยบาย ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
1.2 วิธีปฏิบัติและแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.2.1 หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเรื่องที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการรัฐมนตรี
ฝ่ายเศรษฐกิจ มีดังนี้
1.2.1.1 เรื่องที่ส่วนราชการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีความสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะเป็นผู้กลั่นกรองวาระ โดยใช้หลักเกณฑ์ตามที่ระบุในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้แก่ เรื่องที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งประเด็นด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร การค้าการลงทุน เกษตรกรรม การคมนาคมและโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย นวัตกรรมและดิจิทัลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม รวมทั้งหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และจะพิจารณาร่วมกับฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.2.1.2 เรื่องที่เป็นข้อเสนอแนะมาตรการเชิงรุกในประเด็นหรือนโยบายตามข้อ 1.2.1.1 ฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้เสนอเรื่อง และนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.2.1.3 เรื่องที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยมีรายละเอียดของลำดับขั้นตอนการเสนอเรื่องเช่นเดียวกับข้อ 1.2.1.2
1.2.2 แนวทางปฏิบัติในการจัดการประชุม
1.2.2.1 การถามความเห็นของส่วนราชการ ในกรณีข้อ 1.2.1.1 สลค. จะเป็นผู้ออกหนังสือถามความเห็นส่วนราชการ ซึ่งส่วนราชการจะมีหนังสือเพื่อให้ความเห็นหรือเสนอความเห็นในที่ประชุม ในกรณีข้อ 1.2.1.2 ฝ่ายเลขานุการฯ จะเป็นผู้ถามความเห็นจากส่วนราชการซึ่งส่วนราชการอาจจะมีหนังสือตอบความเห็นหรือให้ความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
1.2.2.2 การนำเสนอต่อที่ประชุม ได้แก่ ผู้แทนส่วนราชการที่เสนอเรื่อง (ในกรณีข้อ 1.2.1.1) และฝ่ายเลขานุการฯ (ในกรณีข้อ 1.2.1.2) โดยมีผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและ/หรือส่วนราชการที่ให้ความเห็น เป็นผู้ชี้แจง/ผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม
1.2.2.4 สถานที่จัดประชุม เห็นควรให้จัดการประชุมที่ห้องภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
1.2.2.5 กำหนดเวลาการประชุม เห็นควรให้มีการจัดประชุมในวันจันทร์ ช่วงเช้า หรือตามที่ประธานกรรมการกำหนด โดยให้พิจารณาจากความจำเป็นของเรื่องที่เสนอเป็นสำคัญ
1.3 มติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.3.1 รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.3.2 รับทราบวิธีปฏิบัติและแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1.3.3 เพื่อให้การปฏิบัติงานของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีการแต่งตั้งกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการเพิ่มเติม ดังนี้ (1) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ (2) รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และ (3) ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ และสำนักงบประมาณ นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2562 และกรอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปี 2562 – 2563 และสถานะทางงบประมาณของรัฐบาล โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญ ๆ ในไตรมาสที่สองของปี 2562 แสดงให้เห็นว่า GDP ในไตรมาสที่สองของปี 2562 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในไตรมาสแรก
ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและดัชนีการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง ในขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำปรับตัวลดลง ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนขยายตัวเล็กน้อย ด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง ขณะที่จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์ต่ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นับจากครึ่งหลังของปี 2561 การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการเพิ่มขึ้นของมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สามและสี่ของปี 2561 ชะลอตัวลงเป็นร้อยละ 3.2 และร้อยละ 3.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 5.0 และร้อยละ 4.7 ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง ตามลำดับ
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสแรกของปี โดยพิจารณาจากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ รวมทั้งการท่องเที่ยว ขณะที่มูลค่าการส่งออก ผลผลิตภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัว 2.7 – 3.2 (ค่ากลาง 3.0)
2) กรอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปี 2562 – 2563 เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ประกอบด้วย
2.1) การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก โดยการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร ผ่านกลไกการดำเนินงานของรัฐ หรือกลุ่มองค์กรชุมชน
2.2) การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ โดยการเพิ่มสภาพคล่องแก่กลุ่มผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการขยายตลาดเพื่อรองรับส่วนแบ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
2.3) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและรายได้สุทธิของเกษตรกร โดยการพัฒนาด้านตลาดและลดต้นทุนการผลิตเพื่อยกระดับรายได้สุทธิของเกษตรกร
2.4) การขับเคลื่อนการส่งออก ให้ขยายตัวได้ร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 และร้อยละ 3.5 ในปี 2563 โดยการเร่งหาโอกาสจากการส่งออกและการปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
นอกจากนี้ เสนอให้มีการดำเนินมาตรการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างที่สำคัญ (Big Reform) ซึ่งเป็นกรอบการบริหารระยะยาวควบคู่กันไป โดย (1) การปรับโครงสร้างภาครัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีซึ่งคาดว่าจะทำให้รายจ่ายของรัฐบาลในส่วนที่เป็นรายจ่ายประจำลดลง และมีสัดส่วนรายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้น และ (2) การปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคเกษตร การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนให้ผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นและมีความต้องการสูงในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร และการหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างความมั่นคง และการปรับเปลี่ยนให้ผู้ประกอบการภาคบริการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3) สถานะทางงบประมาณของรัฐบาล
สำนักงบประมาณรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ข้อมูล ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2562 หน่วยงานภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณรวมการก่อหนี้ผูกพัน (PO) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 แบ่งเป็น รายจ่ายประจำร้อยละ 81 และรายจ่ายลงทุนร้อยละ 75 โดยมีวงเงินที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพันอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงที่เหลือของปี (เดือนสิงหาคม – กันยายน 2562) สำนักงบประมาณ โดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จะขอให้ส่วนราชการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนที่ยังไม่ก่อหนี้ผูกพันไปดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3,200,000 ล้านบาท เมื่อหักรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ เงินเดือน
ค่าจ้าง ค่ารักษาพยาบาล และเงินชดเชยแล้ว รัฐบาลจะมีวงเงินงบประมาณสำหรับใช้ดำเนินโครงการใหม่
ตามนโยบายของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท
1) การแก้ไขปัญหาการย้ายฐานการผลิต รัฐบาลควรมีมาตรการและแนวทางการทำงานเชิงรุก รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม เป็นต้น เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจให้หันมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากผลสำรวจขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) พบว่า นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นสนใจลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านการจัดการผังเมืองและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ผลสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) พบว่า ผลจากการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างจีน – สหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 40 ของจำนวนบริษัทที่สำรวจ (40 บริษัทจากการสำรวจบริษัททั้งหมด 100 บริษัท) มีความสนใจที่จะเลือกไทยเป็นฐานการผลิต
2) การสนับสนุนด้านการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) โดยมุ่งเน้นให้มีการศึกษาสถานการณ์การส่งออกเป็นรายตลาดและรายสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV อาเซียน (5) จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรเร่งส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อสนับสนุนการส่งออกควบคู่กับการพัฒนาเส้นทางคมนาคมบริเวณด่านการค้าชายแดน เพื่อให้สามารถเดินทางได้โดยสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด่านสะเดาและด่านแม่สอด
3) การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ควรให้ความสำคัญกับการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะพืชพลังงาน เช่น อ้อย ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง เป็นต้น ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิต (ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) และการจำกัดพื้นที่เพาะปลูก
5) การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณและเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเรื่องหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. รวมถึงแนวทางปฏิบัติในการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สังคมและเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น (Matching Fund) ให้เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น
6) เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ควรส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์มากกว่า
การแข่งขันด้านราคา
2.1.3 ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
1) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ – จีน และญี่ปุ่น - เกาหลีใต้ และสถานการณ์ค่าเงินบาท
2) มอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างรัดกุมและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
3) มอบหมายกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม รวบรวมและวิเคราะห์ห่วงโซ่การผลิตยางพาราและร่วมกันกำหนดแนวทางการเพิ่มการใช้ยางพาราในโครงการก่อสร้างภาครัฐ
2.1.4 มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
1) รับทราบสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2562 และสถานะทางงบประมาณของรัฐบาล และเห็นชอบกรอบการบริหารเศรษฐกิจปี 2562 – 2563 ตามเป้าหมายระยะสั้น 7 แนวทาง และดำเนินมาตรการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ในส่วนของภาครัฐและภาคการผลิตตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจนำเสนอ
2) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบการบริหารเศรษฐกิจในปี 2562 – 2563 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในครั้งต่อไป ดังนี้
2.1) มอบหมายให้นำเสนอ และมาตรการอื่นๆ ในการดำเนินการเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ
2.2) มอบหมายกระทรวงพาณิชย์นำเสนอ นโยบาย แนวทาง และมาตรการในการส่งเสริมการส่งออกของประเทศไทย
3) เห็นชอบในหลักการให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจปี 2562 – 2563 เพื่อเร่งรัด ติดตามการดำเนินมาตรการของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้ประธานกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป
4) มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและประเด็นอภิปรายของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป หรือทำความตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไป
2.2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง
2.2.1 ข้อเสนอเพื่อพิจารณา
กระทรวงการคลังขอให้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง (13 จังหวัด) และช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภาระหนี้สิน ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ (2) โครงการขยายเวลาชำระหนี้เงินกู้ และ (3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
2) มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว การลงทุนของภาคธุรกิจ และการเข้าถึงแหล่งทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย 6 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้ (2) การยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa) เพื่อการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย (3) โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อยผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (4) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS8) (5) มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนเอกชน และ (6) มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
3) มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รักษากำลังซื้อ และเพิ่มสภาพคล่องทางด้านการเงินให้แก่เศรษฐกิจฐานราก ประกอบ 4 มาตรการย่อย ได้แก่ มาตรการพยุงการบริโภคของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการมอบเงินช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ (4) มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่คงค้างกับสถาบันการเงิน
4) การแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเร่งรัดติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยมีที่ปรึกษาหรือรองอธิบดีที่อธิบดีกรมบัญชีกลางมอบหมาย และที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการที่ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม
2.2.2 ประเด็นอภิปราย
1) งบประมาณงบกลาง รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ส่วนราชการต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการทำงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรนำมาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดำเนินการของส่วนราชการ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะใช้จ่ายจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ขอให้ส่วนราชการดำเนินการจัดทำคำของบประมาณตามกระบวนการในขั้นตอนปกติ แทนการขอรับจัดสรรจากงบกลาง เพื่อจะได้มีเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับกรณีฉุกเฉินในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2563
2) การดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังควรเร่งรัดให้มีการติดตามและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
3) การดำเนินมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) ควรพิจารณาประเทศอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากประเทศจีนและอินเดีย โดยเบื้องต้นขอให้ขยายการดำเนินมาตรการให้กับนักท่องเที่ยวใน 19 ประเทศ รวมทั้งควรพิจารณาหาแนวทางหรือมาตรการจูงใจให้กับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ เช่น นักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น
5) สำหรับโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและ และรัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้แก่ ธ.ก.ส. ร้อยละ 6.4 นั้น ควรพิจารณาให้ ธ.ก.ส. รับภาระเพิ่มเติม
6) ข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนจำเป็นต้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเพื่อพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
2.2.3 ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
1) มอบหมายกระทรวงการคลังติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะคุณสมบัติของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
2) มอบหมายกระทรวงการคลังหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอโครงการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์หารือเรื่องการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยเคมี
2.2.4 มติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
1) เห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2) เห็นชอบให้กระทรวงการคลังนำร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อลดหย่อนภาษีภายใต้มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน เสนอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้วย เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาในคราวเดียวกัน
3) มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและประเด็นอภิปรายของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป หรือทำความตกลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไป
7. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) รายการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจ ระบบภาคพื้นดิน และระบบแอพลิเคชั่นภูมิสารสนเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 แล้ว จำนวน 663,480,000.00 บาท เพื่อชำระเงินตามสัญญาจ้างโครงการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) รายการค่าจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจ ระบบภาคพื้นดิน และระบบแอพพลิเคชั่นภูมิสารสนเทศ งวดงานที่ 6 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) เสนอ
ต่างประเทศ
8. เรื่อง ร่างกรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 71 และครั้งที่ 72
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 71 และครั้งที่ 72 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขร่างกรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยอธิบดีกรมอุทธยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) เป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดการประชุมในวันที่ 28 สิงหาคม 2562 ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 และการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 71 และครั้งที่ 72 ที่ได้ดำเนินการไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบในหลักการในเรื่องนี้ คณะผู้แทนไทยจะขอสงวนท่าทีในการประชุมดังกล่าวข้างต้นไว้ก่อน และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) กรอบข้อคิดเห็นของประเทศไทยต่อวาระการประชุมดังกล่าวแล้ว คณะผู้แทนไทยจะได้ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ
9. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 5 (Fifth APEC Ministerial Meeting on Food Security)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 5 และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ ประกอบด้วย (1) ประเด็นความท้าทาย ด้านความมั่นคงอาหาร เพื่อตอบสนองจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น (2) การส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืน โดยสนับสนุนการดำเนินนโยบายแบบบูรณาการที่คำนึงถึงการพัฒนาการเกษตร การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน (3) การรับนวัตกรรม เทคโนโลยีอุบัติใหม่ และโอกาสทางดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับสร้างนวัตกรรม เน้นการสร้างและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ (4) การใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าอาหารและการค้า สนับสนุนการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) ครัวเรือนเกษตรกร และเกษตรกรรายย่อย (5) การส่งเสริมการพัฒนาชนบทในฐานะพื้นที่ที่สร้างโอกาส ส่งเสริมนโยบายการพัฒนาชนบทแบบองค์รวม ที่คำนึงถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม รวมถึงความต้องการของท้องถิ่น และ (6) การดำเนินการต่อไป เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการรับมือกับความท้าทายด้านอาหาร-เกษตรในอนาคต
โดยร่างปฏิญญาฯ และการให้การรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2562 ณ เมืองปูแอร์โตบารัส สาธารณรัฐชิลี
10. เรื่อง ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum For International Cooperation- BRF) ครั้งที่ 2 และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum For International Cooperation- BRF) ครั้งที่ 2 และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 27 เมษายน 2562 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ประกอบด้วย (1) การประชุมระดับสูงของ BRF ครั้งที่ 2 โดยประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมและกล่าวต่อที่ประชุม ฯ ว่า ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางจะสร้างโอกาสความร่วมมือที่เปิดกว้างและนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน (2) การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของ BRFครั้งที่ 2 โดยที่ประชุม ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม BRF ครั้งที่ 2 ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุม 5 มิติ ได้แก่ 1) ความเชื่อมโยงทางนโยบาย 2) ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ 3) การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน 4) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของความร่วมมือให้ปฏิบัติได้จริงและมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และ 5) การพัฒนาการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนในมิติต่าง ๆ (3) การประชุมเวทีกลุ่มย่อย (4) การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำจีน (5) การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศอื่น ๆ
แต่งตั้ง
11. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นางพจนีย์ ขจรปรีดานนท์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ กรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการผังเมือง (นักผังเมืองทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นายอนุกูล เจิมมงคล รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
13. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายอาจิน จิรชีพพัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
14. เรื่อง การเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แทนตำแหน่งที่ว่างลง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอแต่งตั้ง นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ (ซึ่งจะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป) ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (คณะกรรมการ ปปง.) แทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นางรัตนา จงสุทธานามณี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
2. นายวารุจ ศิริวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพลังงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
17. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
18. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้รวมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้ 1. นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ 2. นายอภิวัฒน์ ขันทอง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
20. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 15 ราย ดังนี้
1. นายอำนวย คลังผา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
2. นายทวี สุระบาล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
3. นายทศพล เพ็งส้ม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
4. นายธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
5. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
6. นายนิทัศน์ รายยวา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
7. นายสรสินธุ ไตรจักรภพ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
8. นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
9. นายชื่นชอบ คงอุดม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง
10. นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
11. นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
12. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน
13. พลตำรวจโท ณัฐพิชย์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย
14. นายปรเมศร์ งามพิเชษฐ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม
15. นายธีระยุทธ วานิชชัง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นายพิพัฒน์ ธรรมสิทธิ์
2. นายนิพนธ์ ชื่นตา
3. นายทองจันทร์ จันเต
4. นายโรจนินทร์ หิรัญโชคอนันต์
5. นายนริสสร แสงแก้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง พลตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวรัชดา ธนาดิเรก ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
25. เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามลำดับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
2. นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์
3. นายประภัตร โพธสุธน
26. เรื่อง การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
2. นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. แต่งตั้ง นางอัษฎาพร ไกรพานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ)
2. แต่งตั้ง นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ)
3. แต่งตั้ง นายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
4. แต่งตั้ง นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมทรัพยากรน้ำ (ทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 196/2562 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 196/2562 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 165/2562 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1. ยกเลิกข้อ 2.3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 165/2562 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2562
2. เพิ่มความต่อไปนี้เป็น ข้อ 6.3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 165/2562 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2562
“6.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
- บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี