ศาลฎีกาสัง‘ตู่-เต้น-กี้ร์’
ชดใช้19.3ล้าน
คดียุยงเสื้อแดงเผาตึก
3คูหาริมถนนราชปรารภ
ช่วงนปช.ชุมนุมใหญ่ปี’53
‘ช่อ’อ้างต้องทำงานหนัก
ขอยืดเวลาแจงทรัพย์สิน
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา ตัดสินให้ “ตู่-เต้น-กี้ร์” 3 แกนนำนปช. จ่ายค่าเสียหายมูลค่า 19.3 ล้านบาท คดียุเสื้อแดงเผาตึกกลางกรุง ช่วงชุมนุมใหญ่ในปี 2553 ด้านโพลล์ไม่เห็นด้วย สส.ย้ายขั้ว ขณะที่ “ช่อ-พรรณิการ์” เผยยื่นขอขยายเวลาแจงบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.เพราะต้องรอบคอบ แต่จะอยู่ในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ระบุช่วงที่ผ่านมาเตรียมงานในสภาหนักไม่มีเวลาจัดการ
เมื่อวันที่ 25สิงหาคม นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ในฐานะทีมกฎหมายปชป. เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าปชป. ได้มอบหมายให้ทีมทนายความ ไปฟังคำพิพากษาแทน เมื่อวันที่ 22สิงหาคมที่ผ่านมา ในคดีแพ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646-6647/2561 ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการวางเพลิงเผาทรัพย์ช่วงระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งคดีนี้มีนางนุชทิพย์ บรรจงศิลป์ โจทก์ที่ 1 นายสิริเชษฐ์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 2 นางมนัสนันท์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 3 และบริษัท ยูแอลซี ซอฟแวร์ โจทก์ที่ 4 ฟ้องจำเลย 11 คน ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายทักษิณ ชินวัตร กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
โดยโจทก์ฟ้องว่าได้รับความเสียหายจากการวางเพลิงเผาอาคาร จำนวน 3 คูหา ตั้งอยู่ที่บริเวณถนนราชปรารถ กรุงเทพฯ ในช่วงระยะเวลาที่มีการชุมนุมของกลุ่มนปช. จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 385,920,800 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และกทม. ส่วนจำเลยคนอื่นยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,347,000 บาท นอกจากนี้ยังให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 12,000,000 บาท และร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี จากคำพิพากษา พบว่าศาลฎีกาให้เหตุผลสรุปสาระสำคัญว่าคำพูดของนายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ล้วนเป็นการปราศรัยที่ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วมกันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ ในคำพิพากษาระบุอีกว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้เชื่อได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สินที่ถูกบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่มนปช.วางเพลิงเผาทำลายนั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นจากคำกล่าวปราศรัยของนายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ด้วย โดยเข้าลักษณะเป็นผู้ยุยง ส่งเสริม ในการทำละเมิดของบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. ที่ร่วมกันเผาอาคารและทรัพย์สิน จึงเป็นเหตุผลที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหาย ขณะที่จำเลยคนอื่นๆ ศาลยกฟ้อง ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาต้องถือว่าเป็นที่สุด และว่ากันต่อด้วยเรื่องชำระค่าเสียหายให้กับโจทก์ผู้ที่ได้รับความเสียหายต่อไป ส่วนคดีอื่นๆที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ในหลายคดี ตนเชื่อว่าจะมีการนำคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ไปประกอบด้วย เพราะมีรายละเอียดที่น่าสนใจ
พปชร.ปัด’ประวิตร’ครอบงำพรรค
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงกรณีผลสำรวจของนิด้าโพล พบประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั่งประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.แต่ควรวางมือทางการเมืองว่า การที่ พล.อ.ประวิตร เข้ามานั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคนั้น เพราะทางพรรคเห็นว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความเมตตากับ ส.ส.ของพรรคเป็นอย่างดี และมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยสนับสนุนงานที่สามารถทำได้ รวมถึงต้องการให้กำลังใจคนในพรรค พปชร.โดยไม่มีเจตนาจะเข้ามาครอบงำหรือยึดพรรคพรรคแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าการที่ พล.อ.ประวิตรเข้ามา จะทำให้พรรคมีความสมัครสมานสามัคคีมากขึ้น เชื่อว่าหากประชาชนเข้าใจในส่วนนี้ ผลสำรวจก็จะสนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประวิตร
“พล.อ.ประวิตร เข้ามา ก็ถือว่าเราได้ผู้ใหญ่ที่เคารพ ซึ่งจะสามารถไกล่เกลี่ยปัญหาต่างๆภายในพรรคได้ เชื่อว่าพรรค พปชร.จะมีเอกภาพมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่ที่พวกเราให้ความเกรงใจมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งหากมีปัญหาขึ้น พล.อ.ประวิตร ก็สามารถเรียกมาพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจกันได้ เมื่อมีผู้ใหญ่แล้วก็จะทำให้เกิดน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคอย่างมาก ยืนยันว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้เข้ามาเพื่อครอบงำพรรค” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เชื่อผลโพลล์ไม่กระทบคะแนนนิยม
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า แม้ผลโพลจะระบุว่าประชาชนไม่เห็นด้วยที่ พล.อ.ประวิตร นั่งประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความนิยมและคะแนนเสียงของพรรค เพราะเชื่อว่าเมื่อประชาชนเข้าใจเจตนาอันดีของ พล.อ.ประวิตรแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้น บวกกับเมื่อประชาชนได้เห็นความตั้งใจทำงานของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คะแนนนิยมก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ
นายพุทธิพงษ์ ยังตอบข้อซักถามที่ว่ารัฐมนตรีควรลาออกจาก ส.ส.หรือไม่ โดยระบุว่า ส่วนตัวไม่ติดขัดว่าจะต้องลาออกหรือไม่ลาออกจาก ส.ส. แต่รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้ง 5 คนของพรรค พปชร.ได้ตกลงกันแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะมั่นใจจะสามารถทำงานควบคู่กันไปได้ ทั้งงานรัฐมนตรีและงานในฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการประชุมสภาและทุกครั้งที่มีการโหวตในสภา รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ของพรรค พปชร.ต่างก็อยู่กันครบ จึงจะเห็นว่าทุกคนสามารถบริหารจัดการเวลาได้ เพียงแต่จะต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น การโหวตข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ถูกมองว่าฝ่ายรัฐบาลโหวตแพ้นั้น จะต้องไปดูว่าแพ้เพราะอะไร แต่ยืนยันไม่ใช่เพราะรัฐมนตรี 5 คนของพรรค พปชร.ไม่ลาออกแน่นอน
ยันไม่ได้สั่ง5รัฐมนตรีลาออก
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประวิตร พูดในที่ประชุม ส.ส.ของพรรค พปชร.ให้รัฐมนตรีทั้ง 5 คนพิจารณาลาออก นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร เพียงถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยระบุเพียงว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีและควบ ส.ส.ด้วยนั้น จะต้องรับผิดชอบในการทำงานทั้ง 2ส่วนด้วย ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรค พปชร.ได้ลุกขึ้นอธิบายว่า ที่ผ่านมารัฐมนตรีของพรรค พปชร.มาประชุมสภาครบทุกครั้ง ซึ่ง พล.อประวิตร ไม่ได้สั่งให้ลาออกแต่อย่างใด
“ช่อ”ขยายเวลาแจงทรัพย์สิน
ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึง การขอขยายยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า ได้ขอใช้สิทธิตามกฎหมายในการขอขยายเวลา เนื่องจากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบ ที่ผ่านมามีนักการเมืองบางรายถูกชี้มูลจากความผิดดังกล่าวมาแล้ว แม้จะเป็นทรัพย์สินจำนวนหลักพันบาทก็ตาม จึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีการแถลงนโยบาย ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ในฐานะฝ่ายค้านต้องเตรียมการเรื่องนี้เยอะมาก ทำให้บางคนอาจจะไม่มีเวลาในการเตรียมเรื่องยื่นบัญชี
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าตน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค จะยื่นทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตนและนายปิยบุตรไม่ได้มีทรัพย์สินเยอะมากมายแต่อย่างใด แต่ที่ขอขยายเวลาเพื่อต้องการทำให้รอบคอบที่สุด
โพลชี้ซักฟอกเกมการเมือง
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผย ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,184 คน เรื่อง “ประชาชนคิดอย่างไร กรณีฝ่ายค้านยื่นซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม” ระหว่างวันที่ 21-24 ส.ค.62 ซึ่งเมื่อถามประชาชนคิดว่าฝ่ายค้านมีเหตุผลเพียงพอต่อการยื่นซักฟอกพล.อ.ประยุทธ์ กรณีการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนหรือไม่ พบว่า ร้อยละ 77.20 ระบุมีเหตุผลเพียงพอ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนจริง ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เหมาะสม ควรแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ รองลงมาร้อยละ 22.80 ระบุมีเหตุผลไม่เพียงพอ เพราะอยากให้สนใจเรื่องการบริหารบ้านเมือง การแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชนมากกว่า เป็นการจ้องจับผิด หาเรื่องรัฐบาล เสียเวลา
เมื่อถามว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกพล.อ.ประยุทธ์ ร้อยละ 66.72 ระบุเห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญนายกฯควรชี้แจงอย่างเป็นทางการ อยากรู้ข้อมูลข้อเท็จจริง เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่สามารถกระทำได้ รองลงมา ร้อยละ 18.67 ระบุ ไม่เห็นด้วย เพราะอาจกลายเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้ง ไม่เกิดผลดีกับทั้ง 2 ฝ่าย ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเมืองให้แย่ลง เมื่อถามถึงประชาชนคิดว่าการยื่นซักฟอกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเกมการเมืองหรือไม่นั้น ร้อยละ 40.79 ระบุ เป็นเกมการเมือง เพราะต้องการสร้างกระแสทางการเมือง บีบให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เป็นการหาจุดอ่อนเพื่อโจมตีรัฐบาล อยากให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ รองลงมา ร้อยละ 34.97 ระบุไม่เป็นเกมการเมือง เพราะฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้เหมาะสม เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรเพิกเฉย การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเป็นเรื่องปกติทางการเมืองและประชาชนร้อยละ 62.14 มองว่าการซักฟอกพล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลลดลง เพราะเกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจในการทำงาน รัฐบาลมีจุดอ่อนหลายอย่าง รองลงมา ร้อยละ 28.80 ระบุเชื่อมั่นเหมือนเดิม เพราะทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ ไม่ส่งผลต่อการบริหารบ้านเมือง ยังทำงานต่อไปได้ มีนโยบายออกมาช่วยเหลือประชาชน
บอกอย่าใช้อารมณ์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนอยากบอกทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน กรณีการอภิปรายยื่นซักฟอกพล.อ.ประยุทธ์ ทางฝ่ายรัฐบาล ร้อยละ 46.75 ระบุ การตอบคำถาม การชี้แจงต้องชัดเจนตรงประเด็น ร้อยละ 34.15 ระบุตั้งใจรับฟังอย่างมีสติ มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ ไม่วู่วาม และสิ่งที่ประชาชนอยากบอกทางด้านของฝ่ายค้าน ร้อยละ 31.38 ระบุไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี สุภาพ รองลงมา ร้อยละ 28.87 ระบุเน้นเรื่องการทำงาน การดูแลประชาชน นึกถึงประโยชน์ของส่วนรวม
ไม่เห็นด้วยสส.ย้ายขั้ว
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง “การเข้าพรรคและย้ายขั้วทางการเมือง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 21 – 22 สิงหาคม 2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,259 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเข้าพรรคและย้ายขั้วทางการเมือง25 ส.ค. 2562
จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการเข้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.69 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ยังไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงาน ควรวางมือปล่อยให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารแทน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว รองลงมา ร้อยละ 31.61 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ เหมาะสมกับ ตำเเหน่งเเล้ว เป็นผู้อาวุโสที่พร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ และอยู่กับนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) มานานและทำงานดี ร้อยละ 19.46 ระบุว่า เฉย ๆ ไม่สนใจ และร้อยละ 0.24 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ไม่มีรายละเอียดหรือข้อมูลเรื่องนี้
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี หาก ส.ส. พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 คน จะย้ายขั้วไปสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.80 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ไม่ยึดอุดมการณ์ของพรรค ไม่มีจุดยืน และผิดสัจจะจากที่หาเสียงไว้ รองลงมา ร้อยละ 35.19 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ เป็นประโยชน์ของประชาชน ทำให้เกิดความปรองดอง และมีจำนวน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อเสถียรภาพในการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 14.61 ระบุว่า เฉย ๆ ไม่สนใจ และร้อยละ 0.40 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ไม่มีรายละเอียดหรือข้อมูลเรื่องนี้ ไม่ได้ติดตามข่าวนี้ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี หาก ส.ส. พรรคเพื่อไทยบางคน ย้ายขั้วไปสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.14 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เพราะ ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและที่ได้รับเลือกเป็น สส.ก็เพราะสังกัดพรรคเพื่อไทย จึงไม่ควรย้ายพรรค รองลงมา ร้อยละ 33.91 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ ทำให้มีจำนวน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะย้ายพรรคไปอยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน และรัฐบาลจะได้มีเสถียรภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 12.71 ระบุว่า เฉย ๆ ไม่สนใจ และร้อยละ 0.24 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
พท.จ่อถก“ไพบูลย์”ยุบพรรค
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ยื่นยุบพรรคตัวเองเพื่อย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องคำนึงถึงกฎหมาย โดยวิปฝ่ายค้านจะนำไปหารือในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ด้านน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคพท. กล่าวว่าวันที่ 26สิงหาคม จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การหารือของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะเดียวกันก็จะต้องมีการตีความเรื่องกฎหมายทั้งการคำนวณคะแนน และการควบรวมพรรคเพราะขณะนี้มีการตีความข้อกฎหมายต่างกัน อย่างไรก็ตามหากพบว่าเรื่องนี้ขัดรัฐธรรมนูญก็จะมีการยื่นเอาผิดต่อไป
ขณะเดียวกันยังมั่นใจว่าฝ่ายค้านยังอยู่ครบ แม้จะมีสส.เพื่อไทย ไปต้อนรับนายกฯและรมว.กลาโหมขณะไปตรวจราชการในภาคอีสานก็ตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี