เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2562 นายธันวา ไกรฤกษ์ สมาชิกและอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เมื่อ 6 ก.ย. 2562 ตอบโต้กรณีที่นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิกพรรค พปชร. ประกาศจะเดินหน้าจัดระเบียบทางเท้าทั่วกทม.ต่อไปพร้อมกับตำหนิผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ไม่ยอมย้ายออกไปจากทางเท้าเพราะสถานที่อื่นขายไม่ดี ดังนี้
“กรณีหาบเร่แผงลอย' ..ขออนุญาตแสดงความเห็น(ต่าง) ต่อโพสของรองผู้ว่าสกลธี หรือที่ผมเรียกว่า ‘พี่จั้ม’ ด้วยความนับถือ และท่านใดอยากแสดงความคิดเห็น กรุณาอ่านให้จบก่อนที่จะดราม่า หรือด่าแบบไร้เหตุผลนะครับ พี่จั้มได้โพสไว้ค่อนข้างยาว ผมขอสรุปเป็นประเด็นดังนี้
1.Street Food ในกทม.ไม่ใช่จะขายตรงไหนก็ได้ แต่ควรขายเฉพาะในจุดท่องเที่ยวสำคัญ ข้อนี้เห็นด้วยครับว่าไม่ใช่จะขายตรงไหนก็ได้ ต้องพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ ความสะดวกในการเดินเท้า รวมถึงไม่ส่งผลให้กีดขวางการจราจร แต่ไม่เห็นด้วย ที่บอกว่าควรขายเฉพาะในจุดท่องเที่ยวสำคัญ เพราะคำว่า 'Street Food' หรือ ‘อาหารริมทาง’นั้น ไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะชาวต่างชาติที่มาเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนไทยนั่นแหละครับที่ได้กิน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (รวมถึงคนรายได้มาก) ที่สามารถอิ่มท้องด้วยเงินไม่มากนัก
2.กรุงเทพมหานครหาจุดขายให้ใหม่ แต่ผู้ค้าเกือบทั้งหมดไม่อยากไป แม้จะห่างไปไม่กี่เมตรก็ตาม ข้อนี้อยากให้อ่านละเอียดนะครับ จริงครับที่กทม.หาจุดขายให้ใหม่ แต่ไม่ใช่ไม่กี่เมตร และที่ผู้ค้าไม่อยากไปนั้นมีเหตุ ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มผู้ค้า คือเมื่อกทม.ยกเลิกจุดผ่อนผันไม่ว่าจะอยู่ในเขตใดแล้ว กทม.จะให้รายชื่อสถานที่ที่แนะนำให้ไปขาย ซึ่งผู้ค้าต้องไปติดต่อเช่าเอาเอง
ยกตัวอย่างเช่น จุดหาบเร่แผงลอยบริเวณถนนสุขุมวิทซอย3 จนถึงสุขุมวิทซอย17 ซึ่งมีการขายเป็นช่วงๆและมีผู้ค้าทั้งหมด 158 ราย โดยบริเวณนี้ช่วงก่อนถูกยกเลิกจะเป็นตลาดกลางคืน เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ ที่รู้จักกันดีในชื่อ Sukhumvit Street Night Market ต่อมากทม.ยกเลิกจุดผ่อนผันทั้งหมด และให้รายชื่อสถานที่แนะนำให้ไปขาย ดังนี้ 1.รอบตึกบริเวณใกล้ปากซอยนานา ซึ่งโดยสภาพแล้วไม่มีคนเดินผ่าน ทั้งยังเป็นทางหนีไฟและเป็นจุดทิ้งขยะของตึก 2.ตลาดสดในซอยอ่อนนุช 3.ตลาดสดใต้สะพานพระโขนง
ซึ่งสองแห่งหลังนี้ สภาพเป็นตลาดสดที่แทบจะไม่มีลูกค้า ส่วนผู้ค้าหาบเร่จุดถนนสุขุมวิทนั้น มีจำนวนมากที่ขายของที่ระลึกให้แก่ชาวต่างชาติ ดังนั้นผู้ค้าจึงไม่สามารถย้ายไปขายในตลาดสดได้ ปัจจุบันหากเดินไล่ตั้งแต่สุขุมวิทซอย3 ไปจนถึงสุขุมวิทซอย17 (เกือบถึงห้างTerminal21) รวมถึงฝั่งสุขุมวิทซอยคู่ ในช่วงกลางวันจะเห็นรถเข็นขายน้ำและผลไม้จำนวนมาก ซึ่งผู้ขายเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย แต่เป็นต่างด้าวผิดกฎหมายที่ขายอยู่เป็นล่ำเป็นสันมานาน
ส่วนช่วงกลางคืนรถเข็นขายน้ำและผลไม้ก็ยังอยู่ แต่ที่เพิ่มเติมมาคือการค้าประเวณี มีทั้งหญิงแท้และสาวประเภทสอง มีทั้งหญิงไทยและหญิงต่างชาติ ยืนเกะกะขวางทางเดินเต็มไปหมดนับร้อยคน ใครผ่านเป็นต้องถูกเรียก ยังไม่นับรวมกองขยะของตึกแถวและบ้านเรือนละแวกนั้น ที่ทุกเย็นจะนำมาทิ้งไว้บนทางเท้าบริเวณปากซอยแต่ละซอย เมื่อสอบถามแล้วได้ความว่ากทม.สะดวกต่อการกองเพื่อรอเก็บแบบนี้
ผมจึงตั้งข้อสังเกตว่า หากกทม.ต้องการให้บ้านเมืองมีระเบียบและสะอาด เหตุใดจึงปล่อยให้มีการค้าขายของคนต่างด้าว การค้าประเวณี และระบบการจัดเก็บขยะที่เป็นที่น่าอับอายแก่ชาวต่างชาติที่เดินผ่าน จนถึงขนาดยืนถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนคนแล้ว อีกทั้งยังมีการพูดกันว่า มีการจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐสำหรับการปล่อยให้ต่างด้าวขายของ รวมถึงการค้าประเวณีดังกล่าวด้วย
ส่วนผู้ค้าที่อยู่ในเขตอื่นๆนั้น ได้รับคำแนะนำในลักษณะเดียวกัน คือให้ไปติดต่อหาที่ขายเอาเองตามรายชื่อที่กทม.จัดให้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นที่ๆไปขายแล้วแทบไม่มีคนซื้อ ทั้งนี้มีอยู่จุดหนึ่งบริเวณใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ที่กทม.จัดให้เป็นพื้นที่รองรับผู้ค้าจากเขตต่างๆให้มาขายฟรีได้ โดนไล่จากบางนาก็มาได้ โดนไล่จากลาดกระบัง บางแค บางขุนเทียน ฯลฯ ก็สามารถมาขายได้ แต่เนื่องด้วยระยะทางที่ไกลเหลือเกิน ผู้ค้าหาบเร่จึงไม่สามารถเดินทางบนข้อจำกัดของชีวิตเค้าได้ อีกทั้งบริเวณใต้ทางด่วนดังกล่าว หากใครเคยผ่านไปก็จะทราบว่าสภาพพื้นที่เป็นอย่างไร
3.ไม่ได้ตะบี้ตะบันให้หมดไป บางจุดที่มีชื่อเสียงหรือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เช่นเยาวราชและข้าวสาร ก็ยังจะคงไว้ ข้อนี้เห็นด้วยครับ เพราะปัจจุบันอย่างที่บอกไปแล้วข้างต้น ว่าในหลายๆจุดที่ผู้ค้าปรับตัวแล้ว เป็นระเบียบและสะอาดแล้ว ก็ยังถูกยกเลิกจุดผ่อนผัน พอผมอ่านมาถึงตรงนี้ ก็พอเดาได้ถึงนโยบายกทม.ที่ค่อนข้างชัดแล้วว่า อีกหน่อยทางเดินทั้งกรุงเทพจะไม่มีของขายอีกต่อไป ไม่ว่าจะในจุดใดทั้งสิ้น ยกเว้นที่ดังๆเช่นเยาวราช และถนนข้าวสาร
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คนกว่าสิบล้านคนในกรุงเทพ เมื่อหิวหรืออยากซื้อของใช้จุกจิกก็มีทางเลือกสองทาง ถ้าแถวนั้นมีร้านค้าก็เข้าร้านค้า ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่คือร้านสะดวกซื้อ หรือไม่ก็เข้าห้างไปเลย ในจุดนี้น่าเสียดายว่าเม็ดเงินที่เคยหมุนในระบบข้างทางหลายแสนล้านบาท จากเดิมที่ลงมาถึงคนรากหญ้าด้วย ก็จะไม่ถึงอีกต่อไปแล้ว และหากพูดถึงตลาด ก็คงต้องถามว่าในแต่ละเขตมีตลาดกี่แห่ง เพียงพอที่จะรองรับอย่างทั่วถึงหรือไม่
ไม่ได้บอกให้หาบเร่เอาเปรียบคนที่เช่าพื้นที่ในตลาด ในตึก หรือตามห้าง แต่ต้องยอมรับว่าสังคมมีความหลากหลาย หากไม่มี Demand ก็คงไม่มี Supply ลงไปถึงกลุ่มหาบเร่ และตรงจุดนี้คิดว่าน่าจะสามารถหาจุดสมดุลย์สำหรับทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แค่นั้นครับ ความเห็นต่างต่อโพสของพี่จั้ม ผมขอจบไว้แค่นี้
และสำหรับการที่สังคมมองกลุ่มผู้ค้าเป็นจำเลย คงจะไม่ทราบว่าผู้ค้าจำนวนมาก ได้ปรับปรุงเรื่องการตั้งแผงค้าที่ไม่กีดขวาง สะอาด เป็นระเบียบ พร้อมทั้งได้เสนอแผนและบทมาตรการลงโทษในกรณีผู้ค้ารายใดไม่ยอมปฏิบัติตามให้กับกทม.ไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกยึดพื้นที่คืนอย่างต่อเนื่องในลักษณะล้างบาง จุดที่สะอาดและเป็นระเบียบก็ไม่เว้น และวันนี้สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าเรียกร้องต่อกทม.นั้น มิใช่การดื้อแพ่งจะให้เปิดพื้นที่ทั้งหมด หากแต่เค้าขอให้รัฐเปิดโอกาสให้ผู้ค้าได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็น ซึ่งตอนนี้ถามว่ากทม.รับฟังเสียงของเค้าบ้างหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ..'การสั่งการหรือกำหนดนโยบายโดยไม่รับฟังเสียงของคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายแบบนี้ ผมไม่เห็นด้วยครับ
ปล.แทบทุกกลุ่มสาขาอาชีพมีระบบรองรับ ชดเชย เยียวยา อุดหนุด ทั้งชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งแม้มากน้อยไม่เท่ากันก็จริง แต่สำหรับหาบเร่นั้น ไม่มีแม้กระทั่งใครรับฟัง หน้ำซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัว เอาความจนมาอ้างฯลฯ และถ้าถามว่าผมได้อะไรจากการมายุ่งเรื่องนี้ ตอบได้ทันทีครับว่า “คำด่า” และ "ความไม่ปลอดภัยในชีวิต" แต่ผมก็ยังยืนยันที่จะนำเสนอในสิ่งที่ผมคิดว่าถูกต้อง ผมเป็นประชาชนคนนึงที่มีสิทธิ์คิด พูด หรือทำ ตราบเท่าที่ไม่เป็นการทำร้ายใคร ดังนั้นสำหรับผู้เห็นต่าง โปรดเอาเหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาคุยกันนะครับ
ก่อนหน้านี้ นายสกลธี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อ 5 ก.ย. 2562 ระบุว่า ทั่ว กทม. มีจุดผ่อนผันกว่า 600 จุด ต่อมาในปี 2554 กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ทำหนังสือถึง กทม. ขอให้เลิกจุดผ่อนผันเพราะทำให้การจราจรติดขัด และได้เริ่มดำเนินการยกเลิกในปี 2557 จนเหลือเพียงร้อยกว่าจุด และฝากถึงคนที่ออกมาโจมตี กทม. เรื่องเข้มงวดกับหาบเร่แผงลอย ขอให้เข้าใจคนใช้ทางเท้าด้วย เพราะทางเท้ามีไว้เดิน ดังนี้
โพสต์นี้ขอยาวหน่อยนะครับ....คำว่าเมืองแห่ง street food ของกรุงเทพมหานครนี่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าจะใช่อยากจะขายของขายอาหารตรงทางเท้าตรงไหนก็ได้นะครับ มันควรจะขายในจุดที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ ไม่ทำให้การจราจรติดขัดและไม่กระทบกับความสะดวกสบายของคนใช้ทางเท้าเป็นสำคัญเพราะเป็นที่สาธารณะที่คนใช้ร่วมกัน บริบทสมัยก่อนที่มีจุดผ่อนผันก็เพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยที่เป็นหาบเร่แผงลอยจริงๆ
แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีหาบเร่แผงลอยแบบนั้นแล้วครับ กลับเปลี่ยนเป็นรถเข็นขนาดใหญ่หรือตั้งโต๊ะเป็นกิจลักษณะบนทางเท้าอย่างที่เห็นๆ กันในสมัยก่อนกรุงเทพมหานครมีจุดผ่อนผันเดิม 600 กว่าจุดเริ่มมาตั้งแต่สมัยพลตรีจำลอง ศรีเมืองเป็นผู้ว่าฯ ต่อมาสมัยประมาณปี พ.ศ.2554 เจ้าพนักงานจราจร (บช.น.) ได้มีหนังสือถึกรุงเทพมหานครว่าไม่เห็นชอบให้มีจุดผ่อนผันเนื่องจากทำให้การจราจรติดขัด จึงเป็นที่มาของการทยอยยกเลิกจุดผ่อนผันตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบันครับ ปัจจุบันตัวเลขกลมๆ ของจุดผ่อนผันอยู่ที่ประมาณ 170 จุด
โดยในการยกเลิกนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาลจะให้ทางกรุงเทพมหานครหาจุดขายใหม่ให้ แต่ปัญหาที่พบเกือบจะทั้งหมดคือผู้ค้าไม่อยากไปขายที่ใหม่ อยากขายที่เดิมริมถนนตรงนั้นแหละครับ แม้จุดที่หาให้จะห่างไปจากจุดเดิมไม่กี่เมตรก็ตาม แต่ที่สุดก็มีผู้ค้าที่โดนยกเลิกจุดย้ายไปน่าจะร่วมเป็นพันคนตามจุดที่หาให้ทั่วกรุงเทพฯ ครับ ดังนั้นที่ว่ากรุงเทพมหานครตัดโอกาสการทำมาหากินจึงไม่น่าจะใช่ ได้หาที่ใหม่ให้ทุกครั้งเพียงแต่ผู้ค้าไม่อยากไปเพราะมันขายดีสู้บนทางเท้าไม่ได้ครับ
เวลากรุงเทพมหานครจะพิจารณายกเลิกจุดผ่อนผันเราดูองค์ประกอบหลายประการครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจราจร ความเรียบร้อยและความสะอาด จำนวนผู้ค้า รวมถึงพื้นที่บริเวณทางเท้าว่ามีพอหรือไม่ รวมถึงประโยชน์ของการคงไว้ซึ่งจุดผ่อนผันครับ ไม่ได้จะตะบี้ตะบันเลิกให้หมดๆ ไป จุดที่เรียบร้อยไม่สกปรกรกรุงรังก็ยังคงอยู่จัดระเบียบกันไป บางจุดที่มีชื่อเสียงและจำเป็นเป็นหน้าเป็นตาของประเทศอย่างเยาวราชหรือถนนข้าวสารก็จะคงไว้โดยพิจารณาดูเป็นกรณีๆ ไปและจะพัฒนาให้มันดีขึ้น
โดยในจุดอื่นก็เช่นกันครับ จุดที่กำลังจะเลิกในอนาคตก็จะหาที่ใหม่เสนอผู้ค้าครับ ช่วงนี้มีคนออกมาพูดกันเยอะเรื่องกรุงเทพมหานครเข้มงวดกับหาบเร่แผงลอยครับ อยากให้ลงไปเดินทางเท้ากันบ้างครับจะได้เข้าใจหัวอกคนใช้ทางเท้า ทำมาหากินก็เข้าใจครับแต่ต้องไม่เบียดเบียนสิทธิของคนใช้ทางเท้าด้วยครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ #ทางเท้าไว้ให้คนเดินครับ #จะออกตรวจต่อเนื่องต่อไปครับ #ออกไม่บอกเขตครับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี