วันที่ 9 กันยายน 2562 ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ “การลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (sacrilege)” ว่าด้วยการที่มนุษย์ถือเอาสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยกไว้สูงจนแตะต้องอะไรไม่ได้ไม่ว่าในทางใดๆ ซึ่งพบได้มากในสังคมไทย เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาเพราะจะทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ดังนี้
“ประเด็นหลักประเด็นหนึ่งที่ Steven Lukes นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษเสนอไว้ใน การิทัตผจญภัย บทตอนว่าด้วย ชุมชนนคร (Communnitaria) ก็คือปัญหาการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ sacrilege เขาชี้ผ่านนิยายว่าในปริมณฑลที่ถูกถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทางการเมืองวัฒนธรรมนั้น (the cultural political sacred) การตีความโดยผู้เสพสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม (audience interpretation or perception) มักถูกให้ค่าสำคัญชี้ขาดเหนือกว่า เจตนาของผู้ประดิษฐ์ (authorial intention)”
“ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทำนองนี้ ประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งแหวกขนบทางวัฒนธรรมที่เคยมีมา แม้จะมีเจตนาเพื่อยกย่องสรรเสริญสดุดีก็ตามที มักถูกตีความไปในทางลบทางร้ายว่าละเมิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ เพราะมันแตกต่างออกไปจากขนบการยกย่องสรรเสริญสดุดีอันเป็นที่คุ้นชินของสังคมหนึ่งๆ และพอประดิษฐกรรมนั้นปรากฏต่อสาธารณชน ความแปลกแหวกแนวของมันก็จะทำให้มันถูกตราหน้ากล่าวหาแทบจะทันทีโดยอัตโนมัติว่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิไยว่าผู้ประดิษฐ์คิดสร้างจะมีเจตนาดีอย่างไรก็ตาม”
“ปรากฏการณ์ทำนองนี้มีมากและบ่อยเป็นประจำในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนว่าขนบการเสพรับประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมของไทยเรา ยึดติดกับขนบจารีตมาก ยอมรับการพลิกผันปรับแปรแหวกแนวน้อย (very conservative) ยึดติดอำนาจเป็นที่พึ่งมาก ใช้ข้อมูลความรู้และความพยายามในการเข้าใจและเห็นอกเห็นใจน้อย (highly authoritarian) การเขียนถึงเอ่ยอ้างถึงหรือแม้แต่ยกย่องสรรเสริญสดุดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ห้ามท้า ห้ามถาม ห้ามละเมิด) จึงต้องยึดขนบจารีตเป็นสรณะและกรอบความเป็นไปได้ ถึงจะปลอดภัย หากล้ำเส้นขนบจารีตสถาปนา (established tradition/custom) ไปแล้ว ก็เสี่ยงต่อการถูกตราหน้ากล่าวหาอย่างร้ายแรงทันทีจากระเบียบอำนาจสถาปนา (the Establishment)”
“ผลของมันก็คือขนบจารีตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคมไทยมีลักษณะยึดติดกับรูปแบบอย่างคับแคบขึงตึงตายตัว ยากแก่การริเริ่มสร้างใหม่ (ตรงข้ามกับพื้นที่สาธารณ์ อย่างเช่น ธุรกิจ บันเทิง ฯลฯ ซึ่งยกย่องให้ค่าการริเริ่มสร้างใหม่แหวกแนว) และทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทยปรับแปรรับปัญหาอุปสรรคใหม่ ๆ ของสังคมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงได้ยาก และมีประโยชน์ใช้สอยจริงสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนน้อยลงทุกที จนอาจประสบวิกฤตที่จะอยู่ในภาวะไม่สอดคล้องเข้าเรื่อง (irrelevance) กับสภาพปัญหาแห่งยุคสมัยอีกต่อไป”
ทั้งนี้บทความดังกล่าวคาดว่าน่าจะมาจากกรณีนักศึกษาวาดภาพพระพุทธรูปที่มีเศียรเป็นยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ซึ่งแม้นักศึกษาคนดังกล่าวจะชี้แจงว่าเพราะต้องการเปรียบเทียบพระพุทธเจ้ากับซูเปอร์ฮีโร่ในจินตนาการว่าเป็นผู้ปกป้องมวลมนุษย์ ประกอบความดีเหมือนกัน แต่ก็ได้สร้างความไม่พอใจให้กับพุทธศาสนิกจนจำนวนมาก จนมีแรงกดดันให้ต้องไปกราบขอขมาต่อเจ้าคณะจังหวัด โดย ศ.ดร.เกษียร ยังได้แต่งกลอน “อนิจจังแห่งขนบ” วิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวไว้ด้วย ดังนี้
“โลกนี้แคบคับกับนักคิด
นอกขนบคือผิดทุกสถาน
ศรัทธาบีบใจให้ร้าวราน
หักปีกจินตนาการลงจมดิน
น้ำตาที่รี่ไหลใช่ชี้ผิด
ซับแล้วฟื้นคืนสิทธิ์การโผผิน
อำนาจอันเย็นชาเป็นอาจินต์
ใดใดในโลกภินทนาการ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://www.naewna.com/likesara/438998 (นศ.สาวกราบขอขมาเจ้าคณะจังหวัด! ปัดลบหลู่วาดภาพ'พระพุทธรูปอุลตร้าแมน' : 8 ก.ย. 2562)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี