วันนี้ (17 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. …. ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สำหรับวันปิดประชุมในร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. …. ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรรับไปพิจารณา แล้วแจ้งผลให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน ก่อนนำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2562 นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีจะต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 1 ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 แต่เนื่องจากการเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาตามมาตรา 122 วรรคสามและวรรคสี่ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น บัญญัติให้เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญก็ได้ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่าการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2562 ตามนัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว สำหรับวันปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา นั้น เห็นสมควรให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรรับไปพิจารณา
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. …. ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2562 และโดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น จึงสมควรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง สำหรับปี 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่านางจุมพิตา จันทรขจร ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2562 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (3)
สำนักงาน กกต. เสนอว่า การที่นางจุมพิตา จันทรขจร ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวข้างต้น จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 105 ซึ่งกำหนดให้ในกรณีที่เป็นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงเพราะเหตุอื่นใด นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้เลือกตั้งภายใน 45 วัน
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่าง
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ร่างหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างหลักเกณฑ์
1. ให้กรรมการและอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้งได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน และให้ได้รับเบี้ยประชุมเฉพาะในเดือนที่ได้ร่วมประชุม ดังนี้
กรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม |
เบี้ยประชุมเดือนละ (บาท) |
อนุกรรมการที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแต่งตั้ง |
เบี้ยประชุมเดือนละ (บาท) |
ประธานกรรมการ |
10,000 |
ประธานอนุกรรมการ |
5,000 |
กรรมการ |
8,000 |
อนุกรรมการ |
4,000 |
กรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม |
เบี้ยประชุมเดือนละ (บาท) |
อนุกรรมการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแต่งตั้ง |
เบี้ยประชุมเดือนละ (บาท) |
ประธานกรรมการ |
3,000 |
ประธานอนุกรรมการ |
2,000 |
กรรมการ |
2,400 |
อนุกรรมการ |
1,600 |
2. ให้กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการ
3. ให้กรรมการหรืออนุกรรมการที่เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามสิทธิที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติมประกอบระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนกรรมการและอนุกรรมการฯ ที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญให้เทียบตำแหน่งกับตำแหน่งระดับของข้าราชการพลเรือนเพื่อประโยชน์ในการเบิกค่าใช้จ่าย ดังนี้
ประเภท |
ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับ |
ประเภท |
ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับ |
กรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม |
ข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับสูง |
อนุกรรมการที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแต่งตั้ง |
ข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับต้น |
กรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม |
ข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับต้น |
อนุกรรมการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมแต่งตั้ง |
ข้าราชการพลเรือนประเภทอำนวยการระดับสูง |
4. ให้กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับต้น
5. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่นตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่นตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของหลักเกณฑ์
กำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่น ตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ดังนี้
1. เบี้ยประชุม
1.1 กรณีสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ |
|
ตำแหน่ง |
ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มีการประชุม |
- ประธานสภานโยบาย - รองประธานสภานโยบาย - กรรมการสภานโยบาย/ที่ปรึกษา |
15,000 บาท 13,500 บาท 12,000 บาท |
1.2 กรณีคณะกรรมการ คณะกรรมการพิเศษเฉพาะเรื่อง ที่แต่งตั้งโดยสภานโยบายฯ |
|
ตำแหน่ง |
ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง (ครั้งละ/บาท) |
- ประธานกรรมการ - รองประธานกรรมการ - กรรมการ/ที่ปรึกษา/บุคคลที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการ |
12,500 บาท 11,250 บาท 10,000 บาท |
1.3 กรณี กสว. คณะกรรมการอำนวยการ สอวช. คณะกรรมการอำนวยการ สกสว. |
|
ตำแหน่ง |
ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มีการประชุม |
- ประธานกรรมการ - กรรมการ/ที่ปรึกษา |
12,500 บาท 10,000 บาท |
1.4 กรณีคณะอนุกรรมการซึ่งแต่งตั้งโดยสภานโยบายฯ |
|
ตำแหน่ง |
ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มีการประชุม |
- ประธานอนุกรรมการ - อนุกรรมการ |
6,250 บาท 5,000 บาท |
1.5 กรณีเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นพนักงานของ สอวช. หรือ สกสว. |
ให้ได้รับเบี้ยประชุมในอัตราร้อยละ 50 ของเบี้ยประชุมที่กรรมการหรืออนุกรรมการในคณะนั้น ๆ ได้รับ |
2. ค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่นของบุคคลตามข้อ 1. ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าพาหนะเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เบิกจ่ายในอัตราดังต่อไปนี้
2.1 กรณีประธาน รองประธาน กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ที่เป็นข้าราชการ |
|
ตำแหน่ง |
ค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น |
- ประธาน รองประธาน กรรมการ ที่ปรึกษา - ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ |
- ให้เบิกจ่ายได้ตามสิทธิ ทั้งนี้ ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ทางราชการเบิกจ่ายให้แก่ข้าราชการพลเรือน ประเภทตำแหน่งบริหารระดับสูง - ให้เบิกจ่ายได้ตามสิทธิ ทั้งนี้ ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ทางราชการเบิกจ่ายให้แก่ข้าราชการพลเรือน ประเภทตำแหน่งบริหารระดับต้น
|
2.2 กรณีประธาน รองประธาน กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ ที่มิได้เป็นข้าราชการ |
|
ตำแหน่ง |
ค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น |
- ประธาน รองประธาน กรรมการ ที่ปรึกษา - ประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการ เลขานุการ และผู้ช่วยเลขานุการ |
- ให้เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ทางราชการเบิกจ่ายให้แก่ข้าราชการพลเรือน ประเภทตำแหน่งบริหารระดับสูง - ให้เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ทางราชการเบิกจ่ายให้แก่ข้าราชการพลเรือน ประเภทตำแหน่งบริหารระดับต้น
|
6. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลัง (กค.) อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 แล้ว จำนวน 176.79 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รวมทั้งได้ปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มาสมทบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา รวมจำนวน 300.50 ล้านบาท ได้เบิกจ่ายเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2562 ยังคงมีค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ซึ่งคณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาและมีมติให้จ่ายอยู่อีก จำนวน 242.21 ล้านบาท โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ประมาณการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ โดยเทียบเคียงกับสถิติการพิจารณาจ่ายของคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนฯ และคณะอนุกรรมการฯ จึงคาดการณ์ว่าระหว่างเดือนพฤษภาคม – กันยายน 2562 มีคำขอของผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาที่จะพิจารณาจ่ายได้ จำนวน 176.79 ล้านบาท กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 176.79 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ดังนี้
ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2562 แล้ว (เบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่เดือนตุลาคม 61 – 3 พฤษภาคม 62) |
ขอรับการสนับสนุนงบกลางฯ ปี 2561 ในครั้งนี้เพิ่มเติม (สำนักงบประมาณเห็นชอบแล้ว) (ดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน 62) |
||||||
ผู้เสียหายในคดีอาญา |
จำเลยในคดีอาญา |
ผู้เสียหายในคดีอาญา |
จำเลยในคดีอาญา |
||||
ราย |
ล้านบาท |
ราย |
ล้านบาท |
ราย |
ล้านบาท |
ราย |
ล้านบาท |
5,952 |
292.17 |
56 |
8.33 |
3,439 |
170.84 |
34 |
5.95 |
รวมจำนวน 6,008 ราย งบประมาณ 300.50 ล้านบาท |
รวมจำนวน 3,473 ราย งบประมาณ 176.79 ล้านบาท |
7. เรื่อง โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของ กปภ. (เพิ่มเติม) จำนวน 6 โครงการ [โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. (1) สาขาบ้านฉาง (2) สาขาพังงา – ภูเก็ต (3) สาขาอุดรธานี – หนองคาย – หนองบัวลำภู (4) สาขาแม่สาย – (ห้วยไคร้) – (แม่จัน) – (เชียงแสน) (5) สาขานครศรีธรรมราช และ (6) สาขากันตัง – (สิเกา - ปากเมง)] วงเงินรวมทั้งสิ้น 11,026.952 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เสนอขอความเห็นชอบให้ กปภ. ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 เพิ่มเติม (จากเดิมมี 2 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพนมสารคามฯ และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเวียงเชียงของ อำเภอเวียงเชียงของ จังหวัดเชียงราย) เพิ่มเติมอีกจำนวน 6 โครงการ โดยในการดำเนินโครงการฯ จะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ ปรับปรุงเส้นท่อที่ชำรุด และวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่างๆ และพื้นที่ข้างเคียง ความยาวรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,727.402 กิโลเมตร และมีระบบผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายกำลังผลิต จาก 416,280 ลูกบาศก์เมตร/วัน เพิ่มขึ้นอีก 332,400 ลูกบาศก์เมตร/วัน รวมเป็น 748,680 ลูกบาศก์เมตร/วัน และสามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้น จาก 232,879 ราย เพิ่มขึ้นอีก 239,618 ราย รวมเป็น 472,497 ราย ทั้งนี้ โครงการมีวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,026.952 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุน 7,332.691 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 2,444.230 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กปภ. 1,250.031 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
โครงการ* |
ค่าก่อสร้าง |
ค่าใช้จ่ายบริหารจัดการลดน้ำสูญเสีย |
รวม |
|
เงินงบประมาณ |
เงินกู้ในประเทศ |
เงินรายได้ กปภ. |
||
1. สาขาบ้านฉาง (รองรับโครงการ EEC)** |
1,136.025 |
378.675 |
221.309 |
1,736.009 |
2. สาขาพังงา-ภูเก็ต |
2,638.339 |
879.446 |
353.123 |
3,870.908 |
3. สาขาอุดรธานี – หนองคาย – หนองบัวลำภู** |
1,603.800 |
534.600 |
368.398 |
2,506.798 |
4. สาขาแม่สาย –(ห้วยไคร้) – (แม่จัน) -(เชียงแสน) |
687.070 |
229.024 |
169.713 |
1,085.807 |
5. สาขานครศรีธรรมราช |
1,034.716 |
344.905 |
91.488 |
1,471.109 |
6. สาขากันตัง – (สิเกา – ปากเมง) ** |
232.741 |
77.580 |
46.000 |
356.321 |
รวม |
7,332.691 (ร้อยละ 66.50) |
2,444.230 (ร้อยละ 22.17) |
1,250.031 (ร้อยละ 11.33) |
11,026.952 (ร้อยละ 100) |
หมายเหตุ โครงการฯ ทั้ง 6 โครงการ กปภ. แจ้งว่า ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเป็นโครงการที่มีความพร้อมเรื่องที่ดิน แต่เพื่อให้การดำเนินงานของโครงการฯ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่น้อยที่สุด กปภ. จึงได้จัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (ระยะก่อสร้าง) ** กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว |
ทั้งนี้ ในคราวประชุมคณะกรรมการ กปภ. ครั้งที่ 10/2561 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว
8. เรื่อง การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจ้าง นายบรรสาน บุนนาค เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ภายหลังครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 ตุลาคม 2562 โดยให้ได้รับค่าจ้างเท่ากับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับตามตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูตระดับสูง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก่อนเกษียณอายุราชการ ส่วนค่าย้ายถิ่นที่อยู่และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทยให้เป็นไปตามสิทธิที่พึงได้รับจากการพ้นหน้าที่ราชการในต่างประเทศตามปกติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ สมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ โดยจะเชิญผู้แทนจากต่างประเทศ ประเทศละ 1 ราย พร้อมคู่สมรส และเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ ประจำญี่ปุ่น เข้าร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 22 – 23 ตุลาคม 2562 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ตอบรับเป็นผู้แทนประเทศไทยพร้อมคู่สมรสเข้าร่วมในพระราชพิธีดังกล่าว
2. โดยนายบรรสาน บุนนาค เอกอัครราชทูตประจำญี่ปุ่นจะครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2562 และพ้นจากราชการในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 อย่างไรก็ดี แม้ว่าเอกอัครราชทูตคนใหม่อาจเดินทางถึงกรุงโตเกียวได้ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 แต่อาจไม่สามารถถวายพระราชสาส์นต่อสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้ทันภายในระยะเวลา 21 วัน ก่อนงานพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ซึ่งจะส่งผลให้เอกอัครราชทูตคนใหม่ไม่สามารถเข้าร่วมพระราชพิธีได้
3. กต. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การรับรองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนประเทศไทยและคู่สมรสในการเข้าร่วมงานพระราชพิธีดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมเกียรติ ตลอดจนดำรงความสัมพันธ์และมิตรภาพอันแน่นแฟ้น และยาวนานระหว่างไทยและญี่ปุ่น จึงเห็นควรให้จ้างนายบรรสาน บุนนาค ซึ่งจะครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษภายในวงเงิน 1.5 ล้านบาท เพื่อปฏิบัติหน้าที่เอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 ตุลาคม 2562 โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายประจำปี 2563 ของ กต.
9. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินงานโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง จะต้องตรวจสอบพื้นที่และจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงภารกิจของหน่วยงาน ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ส่วนแหล่งเงินและอัตราค่าใช้จ่าย เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรกก่อน และ/หรือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 แล้วแต่กรณี และเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 โดยการดำเนินโครงการจะต้องดำเนินการในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกับโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ประสบปัญหาโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังของกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนกำหนดให้มีคู่มือ หลักเกณฑ์ ขั้นตอน ในการขอรับจัดสรรงบประมาณ การเบิกจ่าย การติดตามและการรายงานผลการดำเนินโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน การกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
โครงการป้องกันและกำจัดโรคใบด่างมันสำปะหลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังไม่ให้แพร่ระบาดไปยังพื้นที่แห่งใหม่ และเพื่อชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง
2. เป้าหมายการดำเนินงาน
พื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จำนวน 50 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี นครราชสีมา สระแก้ว สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เพชรบุรี แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย สกลนคร สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และจังหวัดอุทัยธานี
3. ระยะเวลาดำเนินโครงการ ดังนี้
3.1 ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563
3.2 ระยะเวลาแจ้งข้อมูลการพบต้นมันสำปะหลังที่แสดงอาการใบด่าง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 6 พฤศจิการยน 2562
3.3 ระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงเดือนกันยายน 2563
4. กิจกรรม ประกอบด้วย
4.1 สร้างการรับรู้ในเรื่องโรคใบด่างมันสำปะหลังและการป้องกันกำจัดและชี้แจงการดำเนินโครงการให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
4.2 จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการและสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วไปให้มีความรู้ ความเข้าใจ และเกิดความตะหนักต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อการป้องกันกำจัดร่วมกัน
4.3 กำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างและแมลงหวี่ขาวยาสูบพาหะนำโรค เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรค
4.4 ชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบจากโรคใบด่าง ที่ต้องทำลายแปลงและไม่ได้รับผลผลิต
4.5 ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์สะอาด พร้อมใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุมการนำเข้าท่อนพันธุ์จากต่างประเทศและการขนย้ายท่อนพันธุ์ภายในประเทศ
4.6 สำรวจ ติดตามสถานการณ์การระบาดของใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั่วไป และพื้นที่ปลูกที่เคยพบการระบาดและดำเนินการทำลายแล้ว เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเตือนหากเกิดการระบาดซ้ำ
4.7 ติดตามประเมินผลโครงการ เพื่อแสดงถึงผลสำเร็จและผลกระทบของการดำเนินโครงการฯ
5. การขับเคลื่อน ส่วนกลาง ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และระดับจังหวัด คณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับจังหวัด (อพก. จังหวัด) มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอนุกรรมการ หน่วยงานต่าง ๆ ระดับพื้นที่ เป็นอนุกรรมการ และเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ประสานการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรและสหกรณ์ในจังหวัดกับหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับจังหวัด (อพก. จังหวัด) ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล ประเมินความเสียหาย ความถูกต้องของข้อมูลเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย ตามที่เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรและ/หรือกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ตรวจวินิจฉัยพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกร รวมทั้งกำกับดูแลและติดตามการระบาดของโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง การรับรองผลของโรค หลังจากกรมวิชาการเกษตรตรวจวินิจฉัยและรับรองผลการเป็นโรคแล้วส่งผลการรับรองให้ อพก. จังหวัด พิจารณาประเมินความเสียหาย ตรวจสอบข้อมูลของเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดและต้องมีการทำลายทิ้งทั้งแปลง การตรวจสอบและพิจารณาจ่ายเงิน อพก. จังหวัด ตรวจสอบ กลั่นกรองข้อมูล และพิจารณาให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรตามวิธีการดำเนินการและเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือ ภายใน 3 – 5 วันทำการ
6. เกณฑ์การจ่ายเงินชดเชย เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่จะได้รับการชดเชยต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
6.1 ได้รับการยืนยันความเป็นโรคใบด่างมันสำปะหลังจากกรมวิชาการเกษตรและได้รับการพิจารณาให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกร จาก อพก. จังหวัด
6.2 ต้องยินยอมให้ถอนทำลายต้นมันสำปะหลังทิ้งตามหลักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร
6.3 ปลูกมันสำปะหลังในช่วงเดือนเมษายน 2562 – 6 กันยายน 2562
6.4 มีต้นมันสำปะหลังยืนต้นในแปลง และต้นมันสำปะหลัง มีอายุไม่น้อยกว่า 2 เดือน หรือกรณีเป็นพื้นที่ที่ดำเนินการทำลายแล้ว และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกระทรวงพาณิชย์
6.5 เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยเกษตรกรจะได้รับการชดเชยรายละ 3,000 บาทต่อไร่ โดยจะได้รับเงินหลังจากถอนทำลายต้นมันสำปะหลังและหยุดพักการปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ที่มีการทำลายต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค อย่างน้อยเป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยมีเอกสารประกอบการขอรับเงินชดเชย คือ สำเนาบัตรประชาชนของเกษตรกร สำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากของเกษตรกร และสำเนาทะเบียนเกษตรกร
ต่างประเทศ
10. เรื่อง พิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ฉบับที่ 4) (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Agreement)
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบพิธีสารแก้ไข้เพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ 4 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามแล้ว ตามที่สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบฯ ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป โดยให้กระทรวงต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติม ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ 4 ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของพิธีสารฯ
1. กำหนดเกี่ยวกับการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ (PPR) ในพิธีสารฯได้แก่
ระดับของเงื่อนไข |
ห้ามรัฐกำหนด |
1. การห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ เท่ากับที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า (TRIMs) ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเป็นระดับที่ผูกพันไว้ในความตกลง ACIA เดิม
|
|
2.การห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่มีระดับเกินกว่าที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลง TRIMs ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่ในร่างพิธีสารนี้ |
1) จำกัดการขายสินค้าในประเทศที่การลงทุนของนักลงทุนผลิตหรือจัดหามา โดยผูกโยงการขายดังกล่าวกับปริมาณ มูลค่าการส่งออกหรือรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศของผู้ลงทุน 2) จำกัดการจัดส่งสินค้าที่มีการลงทุนผลิตในประเทศ ไปยังตลาดภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งโดยเฉพาะ หรือไปยังตลาดโลก |
2. กำหนดให้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องประเมินและทบทวนข้อบท PPR เพื่อพิจารณาเงื่อนไขหรือองค์ประกอบเพิ่มเติม เมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น รวมถึงเรื่องการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนต้องตั้งสำนักงานใหญ่ของตนสำหรับภูมิภาคใดโดยเฉพาะ หรือสำหรับตลาดโลกในประเทศที่จะต้องมีการพิจารณาเป็นรายปีในที่ประชุมคณะมนตรีเขตการลงทุนอาเซียน
3. กำหนดให้ประเทศสมาชิกสามารถจัดทำรายการข้อสงวนได้ หากมีข้อกังวลว่ามาตรการของรัฐมาตรการใดจะขัดต่อข้อบท PPR โดยประเทศสมาชิกจะต้องหารือเรื่องการจัดทำรายการข้อสงวนดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายใน 5 ปี นับจากวันที่พิธีสารฯ นี้ มีผลใช้บังคับเว้นแต่บรรดาสมาชิกจะตกลงเป็นอย่างอื่น
4. กำหนดให้ข้อบท PPR ในความตกลง ACIA จะไม่มีการเชื่อมโยงกับข้อบทว่าด้วยการระงับ
ข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (Invertor State Dispute Settlement) ซึ่งหมายความว่านักลงทุนไม่สามารถฟ้องร้องรัฐได้ หากรัฐทำผิดเงื่อนไขในข้อบท PPR
5. กำหนดว่าพิธีสารฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง ACIA และจะมีผลบังคับใช้หลังจากรัฐสมาชิก
ทุกรัฐได้แจ้งความสมบูรณ์ของกระบวนการภายในของตนโดยการยื่นสัตยาบันสารหรือสารให้ความยอมรับแก่เลขาธิการอาเซียน
ทั้งนี้ สาระสำคัญเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของข้อบทการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุน
ปฏิบัติ (Prohibition of Performance Requirements : PPR) เช่นกำหนดให้ใช้วัตถุดิบในประเทศกำหนดสัดส่วนปริมาณหรือมูลค่าของการนำเข้าและส่งออก หรือการกำหนดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาลงทุน ห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่มีระดับเกินกว่าที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade –Related Investment Measures: TRIMs) ขององค์การการค้าโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับความตกลงให้มีมาตรฐานที่สูงและเป็นสากลมากขึ้น
11. เรื่อง การต่ออายุการบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่ออายุการบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ปีละ 10,000 ฟรังก์สวิส (ประมาณ 318,240 บาท) เป็นระยะเวลา 4 ปี นับแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เบิกจ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าวจากงบประมาณของ กต. ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สืบเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เป็นปีสิ้นสุดที่ไทยจะต้องบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาฯ จำนวน 10,000 ฟรังก์สวิส เป็นระยะเวลา 4 ปี ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ดังนั้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ในการส่งเสริมการดำเนินงานและผลักดันความร่วมมือที่เกี่ยวข้องของไทยในกรอบอนุสัญญาฯ โดยเฉพาะการอนุวัตรพันธกรณีด้านการเก็บกู้และทำลายทุนระเบิด ฯ ของไทย ซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการและจำเป็นต้องประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญา ฯ และรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง กต. จึงขออนุมัติการต่ออายุ การบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุนระเบิด ฯ ปีละ 10,000 ฟรังก์สวิสเป็นระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่ปีงบประมาณพ.ศ. 2563 เป็นต้นไป (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2566)
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ 74 หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างเอกสารที่มิใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาและดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ประธานสมัชชาสหประชาชาติจะเป็นเจ้าภาพจัดการการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (High – Level Meeting on Universal Health Coverage) ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ 74 (Seventy – Fourth Session of the United Nations General Assembly) จะมีการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Political Declaration of the High – Level Meeting on Universal Health Coverage) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นการยืนยันความสำคัญของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และยืนยันความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะเร่งและขยายความพยายามในการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของโลก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ภายในปี 2573
13. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาและดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ร่างเอกสารท่าทีไทยฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับคณะผู้แทนไทยเพื่อพิจารณาใช้สำหรับการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 โดยมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศและส่งเสริมให้ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักถึงบทบาทของไทยในฐานะสมาชิกที่ดีของสหประชาชาติที่ผ่านมาไทยได้แสดงท่าทีและบทบาทที่แข็งขันและสร้างสรรค์ในการร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ รวมทั้งได้แสดงท่าทีในประเด็นต่าง ๆ ระดับโลกที่มีความสำคัญและเป็นข้อห่วงกังวลของประชาคมระหว่างประเทศอย่างครบถ้วน เช่น สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การพัฒนาสตรี เด็ก และผู้พิการ สิทธิมนุษยชน และความมั่นคง
ร่างเอกสารท่าทีไทยฯ ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ตามระเบียบวาระการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ที่ไทยให้ความสำคัญในแต่ละหมวด รวมทั้งสิ้น 9 หมวด ได้แก่ 1) หมวด A การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน 2) หมวด B การรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างเทศ 3) หมวด C การพัฒนาทวีปแอฟริกา 4) หมวด D สิทธิมนุษยชน 5) หมวด E การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 6) หมวด F ความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ 7) หมวด G การลดอาวุธ 8) หมวด H การควบคุมสารเสพติด การป้องกันอาชญากรรมและการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศทุกรูปแบบ และ 9) หมวด I การบริหารจัดการอื่น ๆ
14. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit) ที่ไทยจะร่วมรับรองในวันที่ 24 กันยายน 2562 ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้อยู่ในดุลยพินิจของเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง และให้ความเห็นชอบให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองร่างปฏิญญา ฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
ร่างปฏิญญาฯ เป็นผลจากกระบวนการเจรจาระหว่างคณะผู้แทนถาวรของประเทศสมาชิกสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรบาฮามาสประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กและเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสวีเดนประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานการเจรจาร่วม และคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าร่วมการเจรจามาโดยตลอดซึ่งเมื่อกระบวนการเจรจาเสร็จสิ้น ผู้ประสานงานร่วมได้เวียนร่างสุดท้ายให้ประเทศสมาชิกพิจารณา และไม่มีประเทศใดคัดค้านภายในระยะเวลาที่กำหนด (วันที่ 2 กรกฎาคม 2562) ซึ่งผู้นำประเทศต่างๆ จะร่วมรับรองปฏิญญาดังกล่าวในการประชุม SDG Summit
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ มีเนื้อหาแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้เกิดสังคมที่ยั่งยืนและครอบคลุม มีความเสมอภาคและมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
15. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญาและมาตรการเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาและมาตรการเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อย้ำเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของรัฐผู้ให้สัตยาบันและรัฐผู้ลงนามสนธิสัญญาฯ ที่จะร่วมกันรักษาไว้ซึ่งพลวัตในการส่งเสริมและผลักดันการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาฯ และการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในทุกมิติและทุกระดับ เพื่อสร้างการดำเนินงานภายใต้กรอบสนธิสัญญาฯ ที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ร่างปฏิญญาฯ ได้กล่าวถึงการให้สัตยาบันของไทย ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมความเป็นสากลของสนธิสัญญาฯ
ทั้งนี้ร่างปฏิญญาฯ จะมีการรับรองในการประชุมเพื่อส่งเสริมการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 25 กันยายน 2562 ในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
16. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้ สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบำรุงรักษา และการใช้ สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการบริหารและบำรุงรักษาสะพาน (ฝ่ายไทย) ตามนัยข้อ 4 ของร่างความตกลงดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทน สำหรับการลงนามดังกล่าวตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ประกอบด้วย กรรมสิทธิ์สะพาน เขตแดน การบริหารและบำรุงรักษาสะพาน การจัดตั้งองค์กรบริหารและบำรุงรักษาสะพาน การรักษาความปลอดภัย การบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้องกับตลิ่ง ค่าผ่านสะพาน การปรับปรุงระเบียบการผ่านแดน การผ่านสะพานของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการบำรุงรักษาสะพาน และระบบจราจร
17. เรื่อง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุม United Nations Climate Action Summit 2019
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ร่วมกับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะ ad-referendum เนื่องจากการประชุม UN Climate Action Summit 2019 มีกำหนดจัดขึ้นก่อนการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 15 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 โดยทั้งนี้มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนประเทศไทยที่ได้รับมอบหมายนำเสนอแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ต่อที่ประชุม UN Climate Action Summit 2019 ตามความเหมาะสม ในฐานะที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนปี 2562 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะต้องรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ร่วมกับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในลักษณะ ad-referendum (การเวียนขอการรับรองอย่างเป็นทางการ) ก่อนการนำเสนอต่อที่ประชุม United Nations Climate Action Summit 2019 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 23 กันยายน 2562 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนประเทศไทยที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้นำเสนอ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ดังกล่าวตามความเหมาะสม
สาระสำคัญของ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมฯ มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (ก) ยินดีต่อการจัดการประชุม UN Climate Action Summit 2019 โดยเห็นว่าการประชุมจะมีส่วนสนับสนุนการดำเนินการภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ข) เน้นย้ำว่าประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้ความสำคัญต่อการดำเนินการทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ค) นำเสนอการดำเนินการของอาเซียนทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค ซึ่งรวมถึงเป้าหมายในด้านพลังงาน(การลดความเข้มข้นของการใช้พลังงานและการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน) และเป้าหมายในด้านการคมนาคม (ลดการใช้เชื้อเพลิง) และ (ง) เน้นความสำคัญของกลไกในการสนับสนุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะการเงินและความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
18. เรื่อง ปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนเร่งรัดการปฏิบัติการสำหรับรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนเร่งรัดการปฏิบัติการสำหรับรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยเห็นชอบให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนเร่งรัดการปฏิบัติการสำหรับรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สาระสำคัญ ร่างปฏิญญาฯ มีเนื้อหาแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการสนับสนุนรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็กในการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงระบบการค้ามหภาคและแหล่งเงินทุน การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย
19. เรื่อง การบริจาคเงินอุดหนุนตามความสมัครใจให้องค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ไทยบริจาคเงินอุดหนุนสำหรับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน (ARMAC) จำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 320,000 บาท สำหรับแต่ละปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 ถึงปีงบประมาณ 2564 และเงินอุดหนุนสำหรับสถาบันอาเซียนว่าด้วยสันติภาพและความสมานฉันท์ (ASEAN-IPR) จำนวน 500,000 บาท โดยเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 2562 จากเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก งบประมาณกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ที่ผ่านมา ไทยยังไม่เคยบริจาคเงินสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรทั้งสอง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วเห็นสมควรที่จะบริจาคเงินอุดหนุนตามความสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสององค์กรและแก้ไขปัญหาด้านงบประมาณ รวมทั้ง แสดงความมุ่งมั่นของไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่ต้องการสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรต่าง ๆ ที่สำคัญเพื่อให้ประชาคมอาเซียนมีความยั่งยืน และยังเป็นการส่งเสริมบทบาทนำ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประธานอาเซียน ในปี 2562 ได้อีกด้วย
แต่งตั้ง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. ร้อยเอก ภูรีวรรธน์ โชคเกิด สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2562
2. นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง สาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2562
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง จำนวน 2 คน ดังนี้
1. นายนิพนธ์ เพ็ชรพรประภาส กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ สาธารณรัฐเซเนกัล
2. นางสาวกานติมน รักษาเกียรติ กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 2 คนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ รับโอน นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 คน ดังนี้
1. นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
2. นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
3. นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
4. นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายมนัส กำเนิดมณี รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมชลประทาน แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายฉันทานนท์ วรรณเขจร รองเลขาธิการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายวสันต์ นุ้ยภิรมย์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมหม่อนไหม แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมหม่อนไหม
4. นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 11 ราย ดังนี้
1. ให้ นายมณฑล สุดประเสริฐ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2. ให้ นายชยพล ธิติศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง
3. ให้ นายกฤษณ์ คงเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
4. ให้ นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
5. ให้ นายทวีป บุตรโพธิ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (นักบริหาร ระดับต้น) ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
6. ให้ นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร รองอธิบดีกรมการปกครอง (นักบริหาร ระดับต้น) ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
7. ให้ นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดนครปฐม สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
8. ให้ นายราชิต สุดพุ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
9. ให้ นายอำพล อังคภากรณ์กุล รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดนนทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
10. ให้ นายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดยะลา สำนักงานปลัดกระทรวง
11. ให้ นายสมเจตน์ จงศุลวิศาลกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับต้น) จังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดหนองบัวลำภู สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอให้ พลตำรวจตรี ปรีชา เจริญสหายานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง) ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง) แทนตำแหน่งที่ว่างลง และส่งให้วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนคณะรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
29. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค แทนตำแหน่งที่ว่าง รวม 5 คน ดังนี้
1. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ
2. นางมยุรศิริ พงษ์ธรานนท์ กรรมการ
3. นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ กรรมการ
4. นายธวัช ผลความดี กรรมการ
5. นายสมชัย สวัสดีผล กรรมการ
โดยบุคคลในลำดับที่ 1.- 3. เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2562 เป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชนในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณี นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชนในคณะกรรมการสภาการศึกษา พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก
2. เห็นชอบแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์จุลนี เทียนไทย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชนในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2562 เป็นต้นไป และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสภาการศึกษาในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอแต่งตั้ง นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรรมเสนอแต่งตั้ง นายประทีป เพ็งตะโก ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี