“วิษณุ”เผยเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย มีระเบียบตายตัว “สตง.”ตรวจสอบ เดินแจกเหมือน“บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์”ไม่ได้ ชี้ใช้จ่ายคนละวัตถุประสงค์ หวั่นซ้ำรอยรัฐบาลเลือกที่รักมักที่ชัง
เมื่อเวลา 08.50 น.วันที่ 19 กันยายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงเกณฑ์การใช้เงินที่ได้รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยไม่กระทบต่อกฎหมาย ว่า การที่เอกชนหรือใครก็ตาม แม้กระทั่งนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ลงไปช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องดี ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอะไร แต่เงินที่ได้รับบริจาคเข้าเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของรัฐบาลนั้น มีระเบียบตายตัว มีกรอบของมันอยู่ ต้องตรวจสอบความเสียหาย และรายงานผ่านทางจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
“อยู่ดีๆจะไปถือเงินแจก ทำอย่างนั้นเหมือนเอกชนไม่ได้ เพราะถ้าทำได้มันจะเกิดการเลือกที่รักมักที่ชัง เช่น บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้เป็นหัวคะแนน เอาไปเลย 2 หมื่น บ้านโน้นไม่รู้อย่างไรเอาไป 2 พัน จำได้หรือไม่ มีรัฐบาลสมัยหนึ่งมีกองทุนทำนองนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่พื้นที่นี้ได้ 2 ล้าน แต่อีกพื้นที่ให้ 7 ล้าน ทุกวันนี้คดีอยู่ยังอยู่ในป.ป.ช. ยังไม่ตัดสินเลย เงินบริจาค เมื่อเข้ามาอยู่ในกองทุนก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทันที” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่าเงินในส่วนที่รัฐบาลรับบริจาค เมื่อเอาไปช่วยประชาชนผู้ประสบอุทักภัย อาจจะซ้ำกับเงินของทางนายบิณฑ์หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า คงไม่ซ้ำ เพราะทางนายบิณฑ์ ช่วยเหลือบรรเทาไปเพื่อซื้ออาหาร ประทังชีวิตเฉพาะหน้า แต่เงินของกองทุนนั้นจะเอาไปช่วยในเรื่องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซื้อปศุสัตว์คืนให้เขา หรือเอาไปใช้ในการฟื้นฟู แต่ไม่รวมถึงการทำถนนหนทาง เพราะส่วนนั้นใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ใช้เงินบริจาค ดังนั้นวัตถุประสงค์ต่างกัน
สำหรับวิธีการจ่ายก็ต่างกัน ที่นายกฯ พูดว่าการช่วยเหลือน้ำท่วมของรัฐบาลมี 3 ระยะ คือ 1.ป้องกัน คือก่อนเกิดเหตุ 2.ระหว่างกำลังเกิดเหตุ และ 3. ฟื้นฟูภายหลังน้ำลด กรณีของนายบิณฑ์ คืออยู่ในช่วงระหว่างเกิดเหตุ เป็นเรื่องที่ดี วันนี้การที่จะให้คนที่นั่งอยู่บนหลังคาบ้าน เขามีโอกาสหรือรู้ว่าเขาได้เงินอยู่ในมือนั้นเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ในเรื่องกำลังใจ เมื่อน้ำลด ปีนลงมาจากหลังคาก็พอที่จะซื้ออะไรต่ออะไรได้ แต่จะได้บ้านใหม่กลับคืนมา หรือจะได้เรือหรือวัวควายกลับคืนมา อาจจะใช้เงินของเอกชนลำบาก ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือกองทุนบรรเทาสาธารณะภัยของรัฐ
เมื่อถามว่า ดังนั้นรัฐบาลต้องยอมรับเสียงวิจารณ์ที่บอกว่ารัฐเข้าไปช่วยเหลือล่าช้ากว่าภาคเอกชน หรือบุคคลอื่นๆ นายวิษณุ กล่าวว่า ยอมรับว่ากลไกมันก็เป็นเช่นนั้น แต่การช่วยเหลือล่าช้าในที่นี้คือช่วยเหลือในความหายของการเข้าไปถึงประชาชน แต่การเข้าไปถึงที่เกิดเหตุ และเข้าไปจัดการป้องกันอย่างอื่นได้ทำไปก่อนล่วงหน้าแล้ว อย่างจังหวัดไหนที่น้ำไม่ท่วมก็ลงไปจัดเรื่องการจราจร ต้องเลี่ยงคนออกนอกเส้นทาง ในส่วนของพระสงฆ์ก็อาจจะลำบากกว่าชาวบ้าน เพราะฉันวันละมื้อสองมื้อ ไม่เหมือนการช่วยชาวบ้าน
เมื่อถามว่า ทางจังหวัดก็มีงบประมาณในการช่วยเหลือ นายวิษณุ กล่าวว่า มี แต่จังหวัดอาจจะเข้าถึงลำบาก และกิจการที่จังหวัดต้องทำมีหลายอย่าง ต้องคิดหน้าคิดหลังว่าต้องเก็บเงินไว้ทำอะไรอีกหลายเรื่อง เช่น มีเงิน 50 ล้าน ต้องเก็บไว้ทำอีกหลายเรื่อง เช่น อีก 1 อาทิตย์ข้างหน้าจะมีพายุมาอีก 2 ลูก ก็ต้องใช้เงินจำนวนนี้ ดังนั้นต้องคิดให้มาก
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเอกชนจะไปตรวจสอบ กรณีของกระทรวงหลักๆ ที่มีการบริจาคเงินผ่านกองทุนเป็นจำนวนหลายล้านบาท นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีปัญหาเลย ทำกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว เขาสามารถใช้เงินนั้นได้ โดยอาจเป็นเงินจากรัฐวิสาหกิจของเขาบ้าง เงินจากการบริจาคบ้าง หรือเงินที่มีเอาไว้สำหรับกรณีจำเป็นฉุกเฉิน อย่างตนเป็นรองนายกฯ ลงไปตรวจราชการในต่างจังหวัด หรือไปคุมพื้นที่ใด ก็สามารถอนุมัติเงินได้ เขตละ 50 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งยังไม่ได้จ่ายไปสักบาท เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ปี ยังมีปัญหาภัยแล้งอีก ซึ่งงบกองทุนนี้สามารถใช้ในเรื่องของภัยแล้งได้ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี