"แกนนำพท."เตือน"บุรินทร์"อย่าแจ้งความหว่านแห ในฐานะฝ่ายกฎหมายของทหารควรกลั่นกรองให้ดีก่อนฟ้องใคร เพราะไม่ใช่ยุคเผด็จการ แจงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองท้องถิ่น สามารถแสดงความเห็นได้ตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562 นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมและอำนาจรัฐ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ฟ้องเอาผิดแกนนำ 7 พรรคฝ่ายค้าน และนักวิชาการ รวม 12 คน ขึ้นเวทีปลุกแก้รัฐธรรมนูญ ที่ จ.ปัตตานี ตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 ว่า การที่ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน.ภาค 4 แจ้งความตามมาตรา 116 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต" ตาม (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน แต่จากรายงานประจำวันที่บันทึกการแจ้งความข่าวพบว่า ไม่มีการแจ้งว่าใคร พูดอะไร ตอนไหน อย่างไร ที่จะเข้าข่ายความผิดมาตรานี้ เป็นเพียงการแจ้งความหว่านแห แสดงให้เห็นว่าคนแจ้งยังไม่เข้าใจชัดเจนด้วยซ้ำว่าข้อเท็จจริงจะเข้าความผิดมาตรานี้ และปล่อยให้เป็นดุลยพินิจเจ้าพนักงาน เหมือนกับการแจ้งความที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศอยู่ในระบอบการปกครองของ คสช. และสุดท้ายนำไปสู่การไม่ฟ้องของอัยการ และการยกฟ้องของศาล เนื่องจากไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
นายชัยเกษม กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นฝ่ายกฎหมายของทหาร ควรกลั่นกรองให้ดีก่อนที่จะฟ้องใคร ไม่ใช่ให้เจ้าพนักงานเขาไปดูเอง ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำสำหรับนักกฎหมายที่จะกล่าวหาคนอื่นในลักษณะนี้ ทั้งนี้ตนเองอ่านเนื้อหาที่แจ้งความแล้วยังไม่รู้ว่าตรงไหนที่จะเข้า ปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ก่อความไม่สงบ หรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ดังนั้นผู้แจ้งความควรตัดตอนออกมาให้ชัดเจนว่าคำกล่าวท่อนไหนที่ผิด ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ กว้างๆ แล้วให้เจ้าพนักงานไปทำเอาเอง รู้แต่ข้อหา แต่ไม่รู้ว่าตรงไหนอย่างไร เหมือนโยนเข็มในมหาสมุทร ให้พนักงานไปทำงานเอง
"ขอย้ำว่า หมดยุค คสช. หมดยุคที่หน่วยงานทั้งหลายที่จะทำตามความเห็น คสช.และหมดยุคการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 แล้ว" นายชัยเกษม กล่าว
นายชัยเกษม กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าการกระทำเช่นนี้อาจไม่ใช่การหวังผลทางกฎหมาย แต่อาจจะทำเพื่อให้ส่งผลต่อประชาชนให้ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ถ้าใครวิจารณ์แล้วผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตามนั้น อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังสามารถทำได้ตามหมวด 15 เว้นแต่สิ่งที่พูดแล้วน่าจะทำไม่ได้คือมาตรา 255 ในรัฐธรรมนูญคือเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เช่น การปกครองท้องถิ่นที่มีเอกภาพของตัวเองมากขึ้นอย่าง กรุงเทพมหานคร หรือเมืองพัทยา เป็นสิ่งที่สามารถทำได้และหยิบยกขึ้นมาพูดได้
"การแจ้งความไว้ก่อนเป็นสิ่งไม่ควรกระทำในยุคที่ประเทศเริ่มเป็นประชาธิปไตย การกระทำลักษณะนี้อาจเป็นการเตือนว่าอย่ามาพูด อย่ามาแสดงความคิดเห็น แม้จะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การเอาคนไปอยู่คดีไว้ก่อน ไม่ใช่วิธีการตามหลักประชาธิปไตย เพราะถ้าคนๆ นั้นมีโอกาสหาทนายเองหรือช่วยเหลือตัวเองได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนที่ไม่มีเงินหรือโอกาสมากพอที่จะเข้าถึงทนายและกระบวนการยุติธรรม ก็จะกระเทือนถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นด้วย ตนจึงขอร้องว่าประเทศกำลังเดินทางไปในเส้นทางประชาธิปไตยที่ดี อย่างเอาวิธีการในสมัยปฏิวัติรัฐประหารมาใช้" นายชัยเกษม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี