เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ผศ.ร.ต.อ.ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ประธานสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) เปิดเผยว่า สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) ออกแถลงการณ์เรื่อง "เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล" โดยมีข้อความดังนี้
กรณีที่ได้เกิดเหตุการณ์ นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาศาลประจำจังหวัดยะลาพยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการใช้อาวุธปืนยิงที่หน้าอกด้านซ้ายข้างบัลลังค์หลังจากอ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลย 5 คนในคดีฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายรวม 5 ศพ โดยออกแถลงการณ์เผยแพร่ไปล่วงหน้าว่า เนื่องจากถูกอธิบดีผู้พากษาภาค 9 พยายามแทรกแซงการวินิจฉัย โดยให้ลงโทษประหารชีวิตและตลอดชีวิตจำเลยทั้งห้า ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นธรรม และเมื่อไม่ได้ปฏิบัติตาม โดยอ่านคำพิพากษายกฟ้อง ก็อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตราชการของตนเอง ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขให้ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างแท้จริงนั้น
สป.ยธ.เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลสั่นคลอนความเชื่อถือเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมชั้นศาลอย่างร้ายแรงยิ่ง ซึ่งควรที่ประธานศาลฎีกาและคณะกรรมการตุลาการจะได้เร่งตรวจสอบค้นหาความจริงว่า การปฏิบัติของอธิบดีศาลในการตรวจร่างคำพิพากษาและระเบียบดังกล่าว ถือว่าเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 188 วรรคสอง หรือไม่ และหากเป็นความจริง จะแก้ไขอย่างไร รีบชี้แจงให้ประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด
นอกจากนั้น การที่ศาลพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว แม้จะยังไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุด แต่ก็แสดงว่าพนักงานอัยการผู้ฟ้องคดีไม่สามารถแสดงพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยให้ศาลรับฟังและเชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยได้ ซึ่งแม้จะถือว่าทุกคนได้รับความยุติธรรม ไม่ถูกศาลพิพากษาลงโทษโดยไม่ได้กระทำผิด หรือพยานหลักฐานไม่สิ้นสงสัย แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้ส่งผลกระทบทั้งต่อรัฐและผู้เสียหายอย่างร้ายแรงยิ่ง คือรัฐไม่สามารถนำตัวผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงมาลงโทษได้ ส่วนญาติพี่น้องของผู้ถูกฆ่าก็เกิดความคับแค้นใจ และไม่ได้รับการชดใช้ทางแพ่งใดๆ จากผู้กระทำผิดหากคำพิพากษาถึงที่สุด
ปัญหาในลักษณะดังกล่าวและที่เกิดขึ้นทั่วประเทศอีกมากมายที่ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานจากการสอบสวนไม่ชัดเจนแต่พนักงานอัยการก็จำเป็นต้องสั่งฟ้องไปเท่าที่ปรากฎเช่นนี้ เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขและปฏิรูปโดยเร็ว เพื่อทำให้ระบบการสอบสวนคดีอาญาของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและสอดคล้องมาตรฐานสากล โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้มีบทบัญญัติที่สำคัญเกี่ยวกับการสอบสวนดังนี้
1.เมื่อเกิดคดีอาญาที่มีโทษจำคุกสิบปีขึ้นไป ให้พนักงานสอบสวนรายงานให้พนักงานอัยการทราบทันที ซึ่งพนักงานอัยการอาจเข้าตรวจที่เกิดเหตุ หรือตรวจสอบสั่งการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามที่เห็นว่าจำเป็นต่อการฟ้องคดีได้
2.เมื่อเกิดคดีฆ่าผู้อื่น ให้พนักงานสอบสวนรายงานให้พนักงานอัยการและนายอำเภอทราบทันที และให้ร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุพร้อมกันทั้งสามฝ่าย โดยทุกฝ่ายต้องบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเก็บเป็นหลักฐานไว้
3.การสอบปากคำผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และประจักษ์พยาน ต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นหลักฐานเพื่อให้อัยการและศาลเรียกตรวจสอบได้เมื่อจำเป็นทุกคดี
4.กรณีที่มีผู้ร้องเรียนต่อพนักงานอัยการว่า พนักงานสอบสวนไม่รับคำร้องทุกข์ หรือไม่ได้ดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือไม่ได้รับความยุติธรรม ให้พนักงานอัยการมีอำนาจแจ้งให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนส่งสำนวนมาตรวจสอบ หรือเข้าควบคุมสั่งการสอบสวนให้เป็นไปตามกฎหมายโดยเร็ว
5.การออกหมายเรียกบุคคลเป็นผู้ต้องหาหรือเสนอศาลออกหมายจับ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ โดยอัยการต้องมั่นใจว่า เมื่อแจ้งข้อหาหรือจับตัวบุคคลใดมาแล้ว จะสามารถสั่งฟ้องแสดงพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดต่อศาลให้พิพากษาลงโทษได้เท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี