"บิ๊กตู่" ยอมรับพยายามปรับตัวให้ทันสมัย ฟังคนด่าแต่ไม่อยากโมโหใคร ลั่นเป็นนายกฯสู้ความยากจน ลากทุกคนไปด้วยกันด้วย "รถไฟขบวนที่ 12 ของลุงตู่" ชี้ประเทศตอนนี้เหมือนมีไฟช็อตคนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ แนะคนรุ่นใหม่ต้องทำให้คนรุ่นเก่าคล้อยตาม
เมื่อเวลา 16.30 น.วันที 9 ตุลาคม ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล อาคารลาดพร้าว ฮิลล์ ซอยลาดพร้าว 4 ถนนลาดพร้าว กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเยี่ยมชมภารกิจสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและมอบนโยบายกับกลุ่มสตาร์ทอัพ ตอนหนึ่งว่า วันนี้มีความสุขอีกวันที่ได้มาพบกับทุกคน แต่เมื่อเช้าก็สุขบ้างทุกข์บ้างเพราะเรื่องเยอะ แต่เวลานี้ได้มาหาและพบกับอนาคตของประเทศ ซึ่งตนพยายามจะทำทุกอย่างโดยยึดว่าวันข้างหน้าเราจะอยู่กันอย่างไร เพราะปัจจุบันเราต้องใช้ทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพราะโลกวันนี้เป็นศตวรรษที่ 21 เราต้องปรับทั้งคนและเครื่องมือ
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าอุปสรรคยังมีมาก เพราะคนไทยมีกว่า 70 ล้านคน ซึ่งผิดกับบางประเทศมีคนเพียงนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรก็ได้ ประเทศเรามีทรัพยากรทุกอย่าง แม้ว่าจะน้ำท่วมฝนแล้งบ้างก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่เราต้องทำให้คนไทยเรียนรู้ให้ได้โดยใช้เอไอ(ปัญญาประดิษฐ์) แต่บางอย่างต้องใช้เวลา ไม่มีอะไรที่คิดวันนี้แล้วทำพรุ่งนี้ได้ทันที ทุกอย่างจึงต้องมีความเชื่อมโยง หลายคนเกิดมาแล้วเห็นทุกอย่าง มีทั้งถนน รถไฟ จึงคิดว่าทุกอย่างต้องดีกว่านี้
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้คือความรักประเทศ การช่วยกันร่วมมือกัน ซึ่งวันนี้เราก็ต้องรวบรวมมาทั้งหมดทั้งเรื่องกฎหมายและต้องย้อนกลับมาดูว่าเราควรจะต้องเคารพกฎหมายก่อนหรือเปล่า กฎหมายฉบับใดถ้ามีปัญหาก็มาพูดคุยกัน สามารถแก้ไขได้ทั้งหมดเพราะกฎหมายก็ร่างโดยมนุษย์ การแก้ก็แก้ด้วยระบบกลไก ทุกอย่างมันก็จบ ถ้ามัวแต่พูดกันอย่างนี้ ทุกอย่างก็คงไม่เกิดและไม่จบ เราต้องเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กันบ้าง แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว นายกฯพยายามปรับตัวเองให้ทันสมัย
"แต่ก่อนเป็นทหารอย่างเดียว วันนี้มาเป็นนายกฯก็ต้องเป็นอีกแบบ ไม่ใช่การบังคับบัญชาเพื่อไปรบ แต่เป็นการสู้กับความยากจน เราต้องนึกถึงเกษตรกร คำนึงถึงผู้มีรายได้น้อย คนที่ขาดโอกาส จะทำอย่างไรให้เข้าถึงในสิ่งเหล่านี้คือรัฐบาลมีหน้าที่ในการสร้างโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่มันเท่าเทียมคือจะดูแลผู้มีรายได้น้อยอย่างไร สิ่งที่เราคิดหากแพงเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ต้องเอาปริมาณที่มากขึ้นเพื่อให้ราคาถูกลง นี่คือสิ่งสำคัญ เพราะเรายังไม่มีรายได้เพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยี เพราะฉะนั้นเราต้องลากกันไปให้หมด รถไฟขบวนที่ 12 ของลุงตู่ 5 ปีที่ผ่านมามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ที่ไปพร้อมกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูป ซึ่งการใช้ไอทีนั้นเกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการและการเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ขอให้ไปอ่านดูบ้าง ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ"นายกฯกล่าว
นายกฯกล่าวว่า เมื่อวันก่อนตนเดินทางไปพบนักศึกษาในต่างประเทศ เขาถามว่าตนเตรียมอะไรไว้ให้เขาบ้าง ตนก็บอกว่านี่ไงประเทศไทยมีอีอีซี มีข้าราชการรุ่นใหม่ แต่ข้าราชการส่วนใหญ่ก็เงินเดือนน้อย ก็ต้องดูว่าจะมีเฉพาะสาขาได้หรือไม่ ขณะนี้เหมือนไฟช็อตกันอยู่ระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่าบางทีก็ไม่ทันเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่จะทำอย่างไรให้คนรุ่นเก่าคล้อยตาม ซึ่งตนตลอด 5 ปีก็ไม่ใช่ว่าไม่ฟังใครเลย เวลาด่าก็ด่าจัง ตนไม่อยากโมโหใครทั้งสิ้น ขณะเดียวกันต้องช่วยกันทำความเข้าใจว่าวันนี้ประเทศไทยอยู่ตรงไหนและปัญหาอยู่ตรงไหน ปัญหาสำคัญคือความเป็นอยู่ของประชาชนทุกอาชีพ นี่ยังไม่ทำงานก็มีหนี้สินแล้ว เพราะทุกคนพยายามหาความสะดวกสบายให้ได้มากที่สุด
"ผมเห็นถึงความตั้งใจของทุกคน สิ่งที่ผมต้องการเห็นคือการจูงมือไปด้วยกัน รัฐบาลพยายามใช้ในสิ่งที่ทุกคนคิด 5 ปีที่ผ่านมา มัวแต่คิดแต่ต้นแบบไม่ได้ ต้องสามารถหยิบจับได้แล้วและต้องนำไปสู่การผลิตแล้ว หากรวมกลุ่มกันขึ้นมาก็จะสามารถทำให้รัฐบาลส่งเสริมได้ตรงกลุ่ม รัฐบาลจะได้ชี้เป้า วันนี้ต้องบริหารข้อมูลด้วยบิ๊กดาต้า ช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องบุคลากรลงได้มาก ไม่เช่นนั้นก็บริหารไม่ได้ถ้าต้องใช้คนหรือเจ้าหน้าที่เยอะกว่านี้ มันไม่จำเป็นแล้ว"นายกฯระบุ
จากนั้น นายกฯได้รับฟังข้อเสนอจากตัวแทนกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยช่วงหนึ่ง มีข้อเสนอเรื่องอธิปไตยด้านการลงทุนหรือการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งทันทีที่นายกฯได้ยินคำว่าอธิปไตย ก็ได้หันหลังมาพูดกับทุกคนว่า "อธิปไตยไม่ต้องกลัว ยังเป็นของประเทศไทยอยู่"
นายกฯ กล่าวว่า ฝากพวกเราเอาคนกลับมาพัฒนาประเทศให้ถูกทาง อย่าไปแก้ปัญหาผิดๆแบบเดิม มันทำไม่ได้ จะเอาทุกอย่างคงไม่ได้เหมือนที่อื่น คงไม่ได้เพราะที่นี่คือประเทศไทย “ถ้าจะด่าจะว่าลุงแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ ก็ทำได้ แต่ก็ขอให้เข้าใจกันบ้าง ไปว่าใครเขาไม่ได้อยู่แล้วเมื่อเลือกทางนี้ก็ต้องโดนอยู่แล้วเป็นทหาร 40 ปีเป็นนายกฯมา 5 ปีก็แก่ไปเยอะ”
นายกฯ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องทำวันนี้คือต้องกลับไปดูกฎหมายพื้นฐาน อย่างเรื่องกฏหมายจราจร รถก็ติดไม่ใช่ไม่ห่วง ห่วงทุกคน อย่างกรณีที่มีผู้ชายขี่รถจักรยานยนต์แล้วไปตบผู้หญิงที่ขับรถยนต์ ทั้งที่ผู้หญิงพยายามขอโทษแล้ว นี้มันแย่ สังคมมันเป็นอย่างนี้ ต้องให้อภัยกันบ้างถ้าเขาไม่ได้ทำให้เราเจ็บเราตายจะไปโกรธเขาทำไม แค่ขอโทษกันก็จบ วันนี้ความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความจน เป็นคนขี้โมโห และส่วนหนึ่งเกิดจากยาเสพติดซึ่งก็จับอยู่เยอะแยะ แต่ไม่หมดสักที ไม่รู้ไปเอามาจากไหนกัน วันนี้ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที ไม่ใช่รัฐบาลนี้ไม่ปราบ แต่ปราบเป็นหลาย 10 เท่ากว่าที่ผ่านมา
นอกจากนี้ปัญหาการศึกษาของประเทศเราคือต้องการให้ดี แต่นึกถึงตัวเองไว้ก่อน เป็นธรรมดาของโลก หลายคนเอาตัวให้สบายก่อนถึงจะช่วยผู้อื่นได้ ถ้าคิดว่าตัวเองรวยเมื่อไหร่ แล้วค่อยคืนให้สังคม ก็จะติดกันอยู่อย่างนี้ ดังนั้นต้องทำวันนี้แล้วคิดถึงเขาวันนี้ ตัวเองก็จะมีความสุข นอนตาหลับ ไปไหนก็ไม่ต้องโดนคนด่าแบบตน ตนอาจจะพูดเยอะแต่อยากให้รู้ว่าผู้นำประเทศคิดอะไรอยู่ ถ้าพวกเราคิด และเคมีตรงกัน ก็เอาไปทำ แต่ถ้าไม่เข้าใจกันตนก็โดนกลับมาทุกที พูดไปก็โดนกลับมา บางทีตนก็เหนื่อย ทุกคนไม่เข้าใจว่าตนต้องการอะไร หาว่าพูดโดยไม่รู้เรื่อง
"จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร อยู่มา 5 ปีแล้ว บริหารมา 5 ปี ถึงจะบอกว่าธุรกิจไม่ดี แต่มัน ก็ไม่ได้เลวจนมากมาย ไม่ใช่หรือ แล้ววันนี้ดัชนีการค้าเยอะหรือไม่ การค้าส่งออก เขาหาตลาดกันอยู่แล้ว และหามากขึ้นกว่าเดิมด้วย แต่ปัญหาเราคิอต้นทุนสูงก็แข่งขันกับเชาไม่ได้ หลายอย่างมีปัญหาลึกซึ้ง สังคมเราต้องปรับเปลี่ยนในทางที่ดี ต้องไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง" จากนั้นนายกฯพูดหยอกๆ พร้อมหัวเราะด้วยว่า”เลิกเป็นนายกฯดีกว่ามาเป็นนายกฯสตาร์ทอัพ มีความสุขดีเนอะ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี