เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 นางชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chalita Bundhuwong หลังจากก่อนหน้านี้ตกเป็น 1 ใน 12 นักวิชาการ และ7พรรคฝ่ายค้านที่ถูกพล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าแจ้งความดำเนินคดีตามมาตรา 116 กรณีจัดเสวนา“พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่บริเวณลานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี โดยกล่าวหาว่าได้มีการพูดนำเสนอข้อมูลในลักษณะมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ประชาชนทั่วไปหลงเชื่อ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระทั่งกระเดื่องต่อประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบภายในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
โดยนางชลิตา ระบุว่า มายืนยันกันอีกทีถึงเสรีภาพในการอภิปรายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รวมถึงมาตรา 1 การนำเสนอของดิฉันในเวทีที่ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา เป็นการใช้เสรีภาพทางความคิดที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ ในการอภิปรายดิฉันได้ปูพื้นให้เห็นถึงความเป็นมาและลักษณะของสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเสนอว่าการมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยและมาจากประชาชนคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาชายแดนใต้ได้ พร้อมทั้งเสนอให้ใช้กระบวนการในการแก้ไข/ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้อภิปรายถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้
อนึ่ง การเสนอให้มีการอภิปรายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยสันติวิธีเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและไม่เข้าลักษณะองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 116 ในประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น การแจ้งความดำเนินคดีเพื่อเอาผิดต่อการแสดงความคิดเห็นนี้โดย กอ.รมน. จึงเป็นการบิดเบือนการใช้กฎหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัว หรือความยุ่งยากให้กับผู้ถูกกล่าวหา เป็นการใช้การฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (SLAPP) ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่กล้าที่จะพูดคุยอภิปรายเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญอีก โดยเฉพาะอย่ายิ่งพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ฉะนั้น พวกเราจะต้องไม่หลงประเด็นไปกับวิวาทะ “การฟ้องเหมาเข่ง/ฟ้องเหมารวม” ทั้งนี้ แม้จะเป็นหลักการที่ถูกต้องที่ว่าผู้พูดย่อมต้องรับผิดชอบในคำพูดของตนเอง แต่นี่ไม่ใช้สาระสำคัญของเรื่องนี้ ประเด็นหลักของเรื่องนี้ก็คือว่า การแสดงความคิดเห็นอย่างสันติต่อรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะในประเด็นใดไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่อาชญากรรม และไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่สมควรจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นนี้
อย่างไรก็ดี ดิฉันไม่เคยกังวลใจเลยแม้แต่น้อยในการที่จะถูกแจ้งความดำเนินคดีเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะคดีใด ด้วยข้อหาใด(และจะแอบโล่งใจเสียด้วยซ้ำหากมันเป็นเช่นนั้น) ดิฉันพร้อมเต็มที่ในการต่อสู้คดีเพื่อยืนยันถึงหลักการ ตอนนี้ก็เริ่มเตรียมข้อมูลต่างๆ เตรียมหานักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ นักสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ที่จะมาเป็นพยานให้การ และดิฉันจะทำให้กระบวนการดำเนินคดีต่อตนเองเป็นการเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรื่องรัฐธรรมนูญและปัญหาชายแดนใต้อีกทางหนึ่ง
หลายวันที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกชื่นชมและศรัทธาต่อหลายๆ ท่านที่ถูก กอ. รมน. ฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยกัน พวกเค้าเหล่านี้ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวต่อการข่มขู่แม้แต่น้อย ผู้อาวุโสหลายท่านยืนยันอย่างกล้าหาญ หนักแน่น และสง่างามต่อหลักการและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นอกจากนั้นก็ยังรู้สึกดีใจที่มีหลายๆ คน/กลุ่ม/องค์กรเริ่มออกมานำเสนอข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับมาตรา 1 มีการรวบรวมงานทางวิชาการมาเผยแพร่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ การพูดถึง การอภิปรายแลกเปลี่ยน และการให้ความเห็นเกี่ยวกับมาตรา 1 มันเคยเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย และเราจะต้องช่วยกันทำให้ความปกติธรรมดานี้ดำรงอยู่ต่อใปให้ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี