นายกฯย้ำจุดยืนรบ.
เลิกสารพิษอันตราย
กมธ.นัดลุยตลาดไท
ตรวจผักส่งจากจีน
นายกฯยันรัฐบาลย้ำจุดยืนเดิมลด-ละ-เลิก 3 สารเคมีการเกษตรตามขั้นตอน รอคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติ 22 ตุลาคม“อนุทิน”ไม่ถอย ฮึ่มถ้ามติกก.วัตถุอันตรายสวนทาง นายกฯต้องออกโรงเอง ด้าน กมธ.ควบคุมการใช้สารเคมีเล็งลงพื้นที่ตลาดไท ตรวจผักนำเข้าจากจีน20ต.ค.พร้อมดูงานเก็บข้อมูลเกษตรอินทรีย์ ขณะที่เกษตรกรกลุ่มปลูกมันสุดทน บุกก.เกษตรฯจี้ทบทวนมติเลิกใช้พาราควอต มอบหรีดให้“มนัญญา”
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงจุดยืนเรื่อง 3 สารเคมีทางการเกษตรคลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซตว่า เรื่องนี้ ตนเคยแสดงจุดยืนไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ให้ลด ละ เลิก สารเคมีดังกล่าว มีระยะเวลาและขั้นตอนดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา วันนี้อยู่ในขั้นตอนตรงนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาพิจารณา และเป็นเรื่องของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่จะต้องลงมติในวันที่ 22 ตุลาคม ต้องหามาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ยืนยันเรื่องการยกเลิก 3 สารพิษว่า ในส่วนสธ.ชัดเจนอยู่แล้วให้ยกเลิก แต่ส่วนอื่นต้องไปดูแลกันเอง ก่อนหน้านี้ นายกฯไม่ได้พูดคุยเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ครม. เพราะเรื่องนี้จบอยู่ที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งนายกฯอาจต้องออกโรงอีกที หากผลของมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายออกมาอีกอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็ต้องรายงานนายกฯ ซึ่งรัฐมนตรี 3 คน 3 กระทรวงก็บอกแล้วไม่สนับสนุน ถือว่าชัดยิ่งกว่าชัด
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังประชุม กมธ.วิสามัญฯว่า ขณะนี้ใกล้ถึงวันที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะพิจารณาว่าจะยกเลิกใช้3 สารเคมีอันตรายหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯยังยืนยันจุดยืนเดิมคือ จะดูแลให้คนไทยและเด็กเกิดใหม่ปลอดภัยจากอาหารและพืชผักที่ไม่มีสารเคมีเกินค่ามาตรฐาน ดังนั้น จุดยืนของกรรมาธิการฯในการแบนสารเคมีคือไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ฝ่ายบริหารก็มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหวังว่า แนวทางของคณะกรรมาธิการฯ จะเป็นส่วนสำคัญที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะรับไปพิจารณา
“กมธ. ยืนยันจุดยืนและแนวทางเดิมคือ แบนการใช้ 3 สารเคมีอันตราย ประกอบด้วย สารพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ การเลิกใช้สารเคมีดังกล่าว กมธ. เห็นว่าสิ่งที่ใช้ทดแทนได้คือ การยึดแนวทางเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัย “ นายชวลิตกล่าว และว่า กมธ. จะลงพื้นที่ตลาดไท จ.ปทุมธานี วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม เพื่อตรวจสอบคาราวานรถตู้คอนเทนเนอร์ที่นำเข้าพืชผักผลไม้จากจีนว่า พืชผักเหล่านั้นปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่ และจะเดินทางไปโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก เพื่อเยี่ยมชมโครงการแปลงสาธิตนาอินทรีย์ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมทั้งจะเดินทางไปจ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี เพื่อศึกษาดูงานตัวอย่างการทำเกษตรอินทรีย์ พร้อมให้กำลังใจกลุ่มเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์
นายชวลิตกล่าวด้วยว่า จะนำข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่มาศึกษาแนวทางการทำเกษตรอินทรีย์ว่าเหมาะสมกับเกษตรกรในประเทศหรือไม่ และจะนำไปขยายผลต่อไป และวันที่ 1 พฤศจิกายน คณะ กมธ. จะเดินทางไปศึกษาดูงานที่จ.หนองบัวลำภู หาแนวทางแก้ไขการใช้ยาปราบวัชพืชในพื้นที่ และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ เนื่องจากแต่เดิมเกษตรกรในพื้นที่ใช้ยาปราบวัชพืชจำนวนมากจนทำให้ได้รับผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดย กมธ.จะศึกษาว่าทางจังหวัด อำเภอ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกร แก้ไขปัญหานี้อย่างไร และมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด
นายชวลิตกล่าวอีกว่า คณะ กมธ.ได้รับหนังสือจากนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ น.ส.อัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง มีหนังสือมาถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอข้อมูลการทำงานของคณะ กมธ. ซึ่งคณะ กมธ. ยินดีมอบข้อมูลให้ตามที่ขอมา แต่ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนและภายใต้เงื่อนไขการทำงานคือ กมธ. ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอรายงานต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ก่อนส่งข้อคิดเห็นเรื่องดังกล่าวไปยังรัฐบาล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หลังผ่านกระบวนการเหล่านี้แล้ว จึงจะนำรายงานดังกล่าวมอบให้เครือข่ายอาสาคนรักแม่กลองต่อไป
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวชิระ ถนัดค้า ประธานกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง นำเกษตรกร 60 ราย ตัวแทนครอบครัวเกษตรกรกลุ่มผู้ปลูกมันสำปะหลัง 1.5 ล้านราย จากอ.หนองบุญมาก อ.ครบุรี อ.เสิงสาง และอ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา มายังกระทรวงเกษตรฯ เพื่อยื่นหนังสือ ให้ทบทวนการพิจารณายกเลิก สารเคมี จาก 1 ใน 3 สารคือ พาราคอต พร้อมมอบพวงหรีดให้น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯที่ตัดสินใจไร้เหตุผลและขาดข้อเท็จจริง โดยอ้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และใช้ข้อมูลบิดเบือนจาก NGO ขณะที่เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมอย่างมันสำปะหลัง อ้อย ปาล์ม ยางพารา ยังจำเป็นต้องใช้ ซึ่งไม่สามารถนำสารใดมาทดแทนได้
นายวชิระ ถนัดค้า ประธานกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เปิดเผยว่า จากประเด็นการแบนสารพาราควอตและที่เกิดขึ้นเท่าที่ตรวจสอบพบ ขบวนการการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในหลายด้านทั้งเรื่องส่งผลกระทบต่อราคา ผลผลิตทางการเกษตร และมาตรฐานอุตสาหกรรมการผลิตหากยังใช้สารพาราควอต ในความเป็นจริง การนำมันสำปะหลังไปใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร โรงงานผลิตมันสำปะหลังมีระบบประกันคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น ISO GMP HACCP
ขณะเดียวกัน สำนักงานมาตรฐานสินค้าฯได้ตรวจสอบต่อเนื่อง ก็ยังไม่เคยพบสารพาราควอตในมันสำปะหลัง ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่า มันสำปะหลังมีคุณภาพดีและปราศจากการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นตามข้อมูลที่ประกอบในการยกเลิก และหากกระทรวงเกษตรฯยังไม่มีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและมีการห้ามใช้ พาราควอต จะส่งผลต้นทุนการเกษตรเพิ่มขึ้น ผลผลิตสูญหาย และกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังและมันสำปะหลังเส้น จนถึงการส่งออกไปต่างประเทศ
“เกษตรกรชาวไร่มัน ต้องออกมาวันนี้ เพราะเดือดร้อนหนัก ตั้งแต่เรื่องความล้มเหลวของภาครัฐในการป้องกันโรคไวรัสใบด่าง ต้องเผาทำลายมัน เร่งเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น การประกันราคาจากภาครัฐก็ยังไม่ตกผลึก และ รมช ก็จะมาแบนพาราควอตในสภาวะที่ราคาตกต่ำ เกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนจากราคาพาราควอตที่สูงขึ้นจากข่าวการแบนในสองปีที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้ เคยลงมาถามเกษตรกรหรือไม่ ความเดือดร้อนของเกษตรกรคือ สิ่งที่กระทรวงเกษตรต้องให้ความสำคัญ เร่งช่วยเหลือ ไม่ใช่มาซ้ำเติม ที่เห็นว่าไม่ควรเลิกใช้พาราควอต เพราะไม่มีแรงงานมาใช้ดายหญ้า จากนี้จะรอดูว่ากระทรวงเกษตรจะแก้ปัญหาอย่างไรหากยังเดินหน้ายกเลิกก็พร้อมรวมกลุ่มเกษตรกร เรียกร้องความเดือดร้อนของเกษตรผู้ปลูกมันสำปะหลังต่อไป”นายวชิระกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี