"ผู้การป๊อป"อภิปรายงบปี'63 อัดไม่ตอบโจทย์ปัญหาประเทศ สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เย้ยมาทางไหนกลับไปทางนั้น
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ความเชื่อมั่นของรัฐบาลลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ส่วนหนี้ครัวเรือนก็สูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รายได้ของประชาชนลดลง ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ ตั้งแต่เป็นทารก จึงเป็นห่วงว่า แม้รัฐบาลจะใช้ทรัพยากรทุกอย่างในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแล้ว แต่การใช้จ่ายของรัฐบาลบางประเภทยังผิดวัตถุประสงค์ ไม่มียุทธศาสตร์ เช่น การนำงบท้องถิ่นมากระตุ้นเศรษฐกิจ หรือก่อหนี้ เพื่อชดเชยเงินงบประมาณขาดดุล ก็ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยังคงทำให้ประชาชนจนขึ้น
"ขณะนี้การว่างงานเพิ่มสูง ภาคการผลิตกำลังลดลง ส่งผลให้รัฐจัดเก็บภาษีได้ลดลง ประชาชนมีรายได้ลดทำให้เกิดปัญหาสังคม ประชาชนขาดความเชื่อมั่นไม่กล้านำเงินออกมาใช้ สอดคล้องกับผลสำรวจหอการค้าไทยที่พบว่า คนไทยขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลได้ใช้ทรัพยากรทุกอย่างเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ผล ดังนั้น น่าเป็นห่วงว่างบฯ ปี 2563 รัฐบาลได้ก่อหนี้เพื่อชดเชยงบประมาณมากที่สุดตั้งแต่มีรัฐบาลมา และสูงกว่ากฎหมายกำหนด เพราะต้องการที่จะสร้างให้ประชาชนอยู่ดีกิน ใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่กลับทำให้คนจนเพิ่มขึ้น และคนรวยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นรัฐบาลแรกที่ออกใบอนุญาตให้มีอาชีพใหม่ขึ้น คือ วณิพก หรือ ขอทาน และทำให้เศรษฐี 5 ตระกูล มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 ล้านล้านบาท หรือสูงขึ้นถึง 1.5 ล้านล้านบาท เกือบเท่าเงินงบประมาณของประเทศ หรือรวยขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณของแผ่นดิน ไม่เกิดการกระจายรายได้ ทำให้ประเทศได้แชมป์ความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก ระหว่างคนรวยกับคนจน" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนเป็นห่วงเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการจัดสรรงบประมาณไม่ตอบโจทย์ ประเทศกำลังเผชิญปัญหาอะไร การจัดสรรงบประมาณสวนทางหมดเลย โดยหลังรัฐประหารเป็นต้นมาปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงเรื่อยๆ การบริโภคภายในกำลังดับสนิท เพราะกำลังซื้อลดลง ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องตอบโจทย์ คือนำงบประมาณมีอยู่จำกัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเจ้าของเงินคือประชาชน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือการจัดลำดับความสำคัญเม็ดเงินงบประมาณที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจงบประมาณที่เพิ่มขึ้น 2 แสนล้านบาท เพราะมีส่วนที่ถูกจัดสรรเพิ่มขึ้นไปอยู่กลุ่มกระทรวงพี่น้อง 3 ป แสดงให้เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้เป็นไปเพื่อพี่น้องมากกว่าประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ การอัดฉีดเงินผ่านโครงการประชารัฐ มาตรการชิมช้อปใช้ไม่ได้ผล ไม่ได้ทำให้คนจับจ่ายใช้สอยเพิ่มเติม เพราะประชาชนได้รับเงินก็นำไปใช้จ่ายครั้งเดียวจบ
"สถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้าจะสาหัส ส่งออกลดลง การเลิกจ้างมากขึ้น จำนวนคนว่างงานจะมากขึ้น กำลังซื้อในประเทศจะหดตัว กิจการต่างๆ จะหันมาเซ้งกิจการ ค่าเงินบาทแข็งส่งผลต่อการท่องเที่ยว วิกฤตเศรษฐกิจจะใหญ่ และร้ายแรง การจัดสรรงบประมาณปี 2563 สิ้นหวัง ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.นี้มาทางไหนไปทางนั้น ควรไปจัดสรรใหม่ให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ผิดไปจากนี้จองศาลาไว้รอสวด รอเผาได้เลยเพราะแก้ปัญหาไม่ได้แน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี