‘บิ๊กตู่’แจงงบ’63
ยึดประโยชน์ปท.-ปชช.
ไม่ได้กระจุกตัวที่ก.กลาโหม
ฝ่ายค้านติงยังใช้ไม่ตรงเป้า
ตะเพิดไปร่างมาเสนอใหม่
นายกฯร่ายยาว แถลงร่างงบประมาณฯปี’63 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ยันรบ.คำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศและประชาชน วอนสส.อย่าดูแค่ยอดวงเงินของแต่ละกระทรวง ย้ำงบไม่ได้กระจุกตัวที่กลาโหม “ผู้นำฝ่ายค้าน” ไล่รัฐบาล กลับไปร่างงบฯ ใหม่ ซัดจัดไม่ตรงเป้าใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ “เสรีพิศุทธ์” ขู่นำลูกพรรควอล์คเอ้าท์ไม่ร่วมถกงบ ชี้รบ.ไร้อำนาจ-ถวายสัตย์ไม่ครบ โต้เดือดรองปธ.หลังถูกเตือนพูดไม่เข้าประเด็น ‘ผู้การป๊อป’อัดจัดงบไม่ตอบโจทย์ปัญหาปท. เหลื่อมล้ำมากขึ้น เย้ยมาทางไหนกลับไปทางนั้น
เมื่อวันที่ 17ตุลาคม ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วาระแรก ในวันที่ 17-19 ต.ค.นี้ ว่า จะเปิดให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้อภิปรายฝ่ายละ 18 ชั่วโมง ถือว่ายาวที่สุดที่เคยมีมา ปกติวาระรับหลักการจะใช้เวลาพิจารณาเพียง 2วัน
ด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน)กล่าวว่าการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี2563จะมีคนอภิปรายประมาณ 90คน โดยวันแรกการอภิปรายจะเป็นการพูดถึงภาพรวมและปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลักโดยจะมีการลำดับและปรับความสำคัญของการอภิปรายตามสถานการณ์ แม้เวลา18ชั่วโมงที่ฝ่ายค้านได้รับ อาจจะไม่เพียงพอแต่จะบริหารให้ลงตัวให้ได้
ขู่งูเห่าโหวตสวน-อดลงเลือกตั้ง
ส่วนการลงมติของฝ่ายค้านนั้น ยังตอบไม่ได้ ต้องดูจนนาทีสุดท้าย และยืนยันว่าฝ่ายค้านไม่ต้องการล้มรัฐบาล และเราจะไม่เอางบประมาณ มาเป็นเกมการเมือง เพราะเมื่องบประมาณไม่ผ่านก็จะกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง คิดว่าการอภิปรายตลอด 3วัน จะไม่มีความรุนแรงอะไร แต่รัฐบาลต้องเปิดใจกว้าง
แสดงท่าทีและไมตรีว่าจะนำสิ่งที่ฝ่ายค้านเสนอแนะไปปรับปรุงในวาระที่ 2 เราก็พร้อมที่จะให้โอกาสและเชื่อว่าการลงมติของ7พรรคร่วมฝ่ายค้านน่าจะเป็นไปในทางเดียวกัน ในส่วนของส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีการคาดโทษ แต่ทุกคนจะรู้กันในใจว่าถ้าใครไม่รับทิศทางพรรค ก็จะไม่มีการขับออกจากพรรค แต่การเลือกตั้งจะไม่ได้ลงสมัคร
สภาผ่านพรก.กำลังพล-งบฯทหาร
เวลา 09.30น.ที่รัฐสภาได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯ ทำหน้าที่ประธานซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 เสนอโดยคณะรัฐมนตรี โดย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงหลักการและเหตุผล
จากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายท้วงติง
ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับหน้าที่เป็นเวลา3เดือน ตรา พ.ร.ก.ไปแล้ว 2 ฉบับ ซึ่งทั้ง2ฉบับนี้มีปัญหาว่าเป็นพ.ร.ก.ที่เข้าตามรัฐธรรมนูญมาตรา172 หรือไม่ เมื่อเรามาพิจารณาถึงเหตุผลการตรา พ.ร.ก.นี้ เห็นว่า พ.ร.ก.ตราขึ้นโดยไม่เป็นไปตามมาตรา172 ตนในฐานะส.ส.ไม่สามารถลงมติอนุมัติ พ.ร.ก.นี้ได้
ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน และให้การรับรอง ความเป็นราชอาณาจักรไทย ไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ ระหว่างความมั่นคงของประเทศกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน อะไรที่กระทบสถาบันกษัตริย์ก็เท่ากับกระทบความมั่นคงของประเทศด้วยเช่นกัน
ในที่สุดที่ประชุมลงมติเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยเสียง 374 ต่อ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียงและจะได้ส่งให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไปในวันอาทิตย์ที่ 20 ต.ค.นี้ ส่วนส.ส.ที่ลงมติไม่เห็นชอบ ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ทั้งหมด มีเพียง 3 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่ใช้ลงมติเห็นชอบคือนายกฤติเดช สันติวชิระกุล ส.ส.แพร่,นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี,พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี ส่วนงดออกเสียง 2 เสียงคือ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์และน.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่
นายกฯร่ายยาวแถลงจัดงบฯปี63
จากนั้น เวลา10.40น.ได้เริ่มเข้าสู้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงต่อที่ประชุมว่ารัฐบาลจัดทำงบประมาณฯ วงเงิน3.2ล้านล้านบาท โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทการพัฒนาตั้งแต่ปี 2561-2580 และการพัฒนาประเทศไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง ยั่งยืน ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ตลอดจน ดูแลและเตรียมพร้อมการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเพราะในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มลดลงจากมาตรการกีดกันทางการค้า รัฐบาลจึงต้องบริหารเงินคงคลังให้เหมาะสม โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาให้เป็นประเทศที่ประชากรมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจในปี 2563คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ถึง 4.0 โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวตามการเร่งเบิกจ่าย โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และการใช้จ่ายภาครัฐและภาคครัวเรือนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ พร้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางการจัดทำงบประมาณ
ชี้เครื่องมือสำคัญรากฐานพัฒนา
ส่วนงบประมาณด้านความมั่นคง ที่จัดสรร 428,190.6 ล้านบาท คิดเป็นวงเงิน ร้อยละ13.4 ของงบประมาณ โดยแบ่งตามแผนงานเช่นยุทธศาสตร์ เสริมสร้างความมั่นคง สถาบันหลักของชาติ5,351.9ล้านบาท ด้านรักษาความสงบภายในประเทศ 34,774.2ล้านบาท การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ 10,865.5 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ใช้เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม และเสริมสร้างศักยภาพพื้นที่จังหวัดโดยน้อมนำศาสตร์พระราชา เป็นกรอบแนวทางดำเนินงานให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
“รัฐบาลเชื่อมั่นว่าร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563ที่นำเสนอแสดงให้เห็นถึงเจตนาของรัฐบาลในการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อวางรากฐานในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญของประเทศในทุกด้าน บนหลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระยะ20ปี ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯกล่าวอีกว่าขณะเดียวกันจัดสรรงบประมาณพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศและความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ88,718.4ล้านบาทเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาระบบป้องกันประเทศให้มีความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบและปรับปรุงสวัสดิการของกำลังพลทุกระดับให้มีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นรวมทั้งยังจัดสรรงบประมาณแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและจำนวน15,324.4 ล้านบาท ได้จัดสรรงบ ประมาณตามยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันจำนวน 380,803.1ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ11.9ของวงเงินงบประมาณ เพื่อการสร้างมูลค่าสินค้าเกษตรและพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ พัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม
“การจัดทำงบประมาณครั้งนี้ จัดสรรงบประมาณเป็นค่าดำเนินการภาครัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบประจำเช่น เงินเดือนข้าราชการ 431,336.6ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ13.5ของวงเงินงบประมาณ และจัดสรรงบประมาณด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารการจัดการภาครัฐวงเงิน504,689.3 ล้ายบาท คิดเป็นร้อยละ15.8ของวงเงินงบประมาณ”นายกฯย้ำหลังชี้แจงประมาณ1ชั่วโมงได้ขออนุญาตดื่มน้ำ
แจงเหตุผลดึงเอกชนร่วมลงทุน
จากนั้นนายกฯชี้แจงถึงกรณีการกันวงเงินหนี้ไว้ต่ำเนื่องจากวันหน้าจะต้องมีการลงทุนอีก หากภาครัฐไปกู้ก็ต้องเป็นหนี้ จึงต้องให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนด้วยในบางโครงการขนาดใหญ่เช่น โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกEECซึ่งเงินลงทุน3แสนล้าน รัฐไม่เอาไปลงทุนหมด เอกชนและประชาชนต้องร่วมมือ รัฐบาลต้องจัดหาที่ดิน สิทธิประโยชน์ให้เอกชนแต่หากรัฐไม่ทำ จะไม่มีใครมาลงทุนแต่ถ้ารัฐทำเองเงินก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องช่วยตนหาเงินและทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย เงินทั้งหมดกว่า90%มาจากภาษีประชาชน
พร้อมแจง-วอนส.ส.อย่าดูแค่วงเงิน
“ยืนยันผมพร้อมตอบข้อซักถามของส.ส.และรัฐมนตรีการพิจารณาวันนี้เป็นเพียงวาระแรก แต่ยังมีวาระ2 จึงอยากขอร้องอย่าไปดูเพียงยอดวงเงินของกระทรวงแต่ต้องดูรายละเอียดว่ามีขั้นตอนการทำงานอย่างไร ตัวเลข 3.2ล้านล้านบาทโดยทำเป็นงบรายจ่ายประจำ งบกลาง งบลงทุนต้องไปดูทำไมแต่ละกระทรวงงบประมาณมากน้อยต่างกันอย่างกระทรวงศึกษาธิการที่งบน้อยลง เพราะไปเพิ่มในส่วนของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ขณะที่กระทรวงกลาโหม ให้ไปดูรายละเอียดว่าชื้ออาวุธมากน้อยเพียงใด การใช้งบประมาณที่ผ่านมาใช้อย่างไร
ยันใช้คำนึงผลประโยชน์ปท.-ปชช.
นายกฯกล่าวด้วยว่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติจะให้การสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ เพื่อที่รัฐบาลจะยึดถือเป็นหลักในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชนต่อไป ซึ่ง การทุจริต ก็เป็นอีกเรื่องไปตรวจสอบกันมา มีองค์กรต่างๆทั้งหมดที่ตรวจสอบซึ่งก็มีการตรวจสอบมาอย่างนี้ 5 ปีรัฐบาลที่ผ่านมา หรือ รัฐบาลสมัยก่อน ก็โดนทั้งนั้น แต่ชี้แจงได้ ก็จบ
ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วยเจตนาตน ไม่ได้จะทำอะไรเพื่อใคร ตนเห็นสายตาประชาชนเวลาไปเยี่ยมตามต่างจังหวัดบางทีก็’จุกคอ’เหมือนกัน เขาไม่มีอาชีพและไม่รู้ว่าจะทำอะไรซึ่งคนเหล่านี้มีจำนวนมากอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติทั้งสิ้น จึงต้องดูแล รัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำและต้องใช้งบประมาณ โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วม พื้นที่ที่ท่วมเป็นประจำและไม่มีวันจบ
อย่างไรก็ตาม นายกฯกล่าวช่วงท้ายว่า ถ้าความมั่นคงไม่เกิดขึ้น ความมีเสถียรภาพไม่เกิด เศรษฐกิจก็พัฒนาไม่ได้ ก็เห็นตัวอย่างในต่างประเทศแล้ว เราไม่ต้องการเดินไปสู่จุดนั้น ตนก็หวังอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงให้ความเห็นชอบ ก็แล้ว แต่ท่านจะพิจารณา แต่กรุณาดูทั้งหมด หวังว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่รัฐบาลจะสามารถทำงานให้ท่านได้ ตนต้องการแบบนั้น ตรงนั้นตรงนี้ เป็นอย่างไรก็สอบถามกันมาได้หรือไม่ แทนที่จะมาว่ากันไปกันมา มันไม่เกิดประโยชน์
ทั้งนี้ ภายหลังชี้แจงการจัดทำร่างพรบ.งบประมาณปี 63 เสร็จ นายกรัฐมนตรี ขออนุญาตที่ประชุมว่า”เดี๋ยวผมขอไปพักคอนิดนึงในห้องรับรอง ตรงนี้ ใครจะพูดถึงผม ก็พูดไปเลยนะครับ ผมฟังข้างนอกนี้ก่อนขอพักสักครู่”
พท.อัดไม่ตรงเป้า-ไล่ไปยกร่างใหม่
จากนั้นนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายเป็นคนแรก ว่าฝ่ายค้านขอให้รัฐบาลพ.ร.บ.งบฯนำกลับไปร่างมาใหม่เพราะงบฯฉบับนี้ไม่มีความเหมาะสม ไม่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย หากนำไปพิจารณาในภาพใหญ่มี4ด้าน1.การลงทุนภาคเอกชน 2.ลงทุนในประเทศ 3.ส่งอออก 4.การลงทุนภาครัฐ ทั้งนี้การส่งออกมีความสำคัญมากทำรายได้ให้ประชาชนมีงานทำ
“หากนำไปพิจารณาในภาพใหญ่ มีฟันเฟือง 4ด้าน คือ 1.การลงทุนภาคเอกชน 2.ลงทุนในประเทศ 3.ส่งอออก 4.การลงทุนภาครัฐ ทั้งนี้ การส่งออกมีความสำคัญมากทำรายได้ให้ประชาชนมีงานทำ ฟันเฟืองตัวนี้มีความสำคัญ ฟันเฟืองตัวที่2คือการลงทุนภาคเอกชน หากนำข้อเท็จจริงมาดูหนังศึกษากว่า 3 แสนคนยังตกงาน ปีหน้าคาดว่าอาจตกงานถึง 5 แสนที่จะประสบปัญหาการลงทุน การอุปโภคบริโภคของคนในประเทศ จะทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าของตนเองได้ ดังนั้นหากมองกำลังซื้อระดับกลางระดับล่าง กำลังซื้อหดตัวรุนแรง นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐที่นำไปจ่ายจริงอย่างมีประสิทธิภาพย่อมสร้างทำให้ระบบขับเคลื่อน แต่ในทางกลับกันหากไม่ได้การขับเคลื่อนย่อมทำให้ฟันเฟืองนั้นไม่เดิน การทำงบของ 5ปีที่ผ่านมามียอดเพิ่มขึ้นทุกปี พยายามเพิ่มรายได้ไม่เพียงพอ จึงได้กู้ทุกปีจนยอดเพิ่มสูงขึ้น”นายสมพงษ์ กล่าว
“เราใส่เม็ดเงินมหาศาลตลอด5ปีที่ผ่านมา แต่ย้อนกลับไปดูก็จะรู้ว่าเป็นอย่างไร รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่สามารถทำให้ประเทศพัฒนาไปได้ ขอแนะนำให้รัฐบาลนำกลับไปปรับปรุง เพราะมีปัญหาหลายปัญหา เช่นการนำงบไปใช้ในภาพส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่นงบประมาณกลาโหม ที่เพิ่มกว่า 6 พันล้าน ไม่ได้สร้างความกินดีอยู่ดีให้ประเทศเลย ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน เหมือนกับปัญหาประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอยู่” นายสมพงษ์ กล่าว
เสรีฯขู่นำลูกพรรควอล์คเอ้าท์
เวลา13.00น.พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมและอำนาจในการจัดทำ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี2563 เนื่องจากมีปัญหาทั้งต่อกรณีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่มีผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณ เนื่องจากสถานะที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐบาลยังไม่มีอำนาจต่อการบริหารราชกการแผ่นดิน ตนและส.ส.พรรคเสรีรวมไทย ไม่ขอร่วมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยเด็ดขาด หากสภาฯยังเดินหน้าจะพิจารณา
เซ็งแผ่นเสียงตกร่องถล่มปมเดิม
“ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 63 สภาฯจะพิจารณาได้หรือไม่ เพราะถือเป็นผลไม้พิษที่มาจาก รัฐบาลและครม. ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ หากสภาฯ พิจารณาไป จะยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ได้หรือไม่จึงถือว่ายอมรับสิ่งที่ทำผิดกฎหมายร่วมกับรัฐบาลด้วย ประธานเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ เช่น เห็นรัฐมนตรีทำผิดกฎหมายแต่ปล่อยให้ทำไปเรื่อยๆ คือ การละเว้นไม่ดำเนินการใดๆ ให้รัฐบาลหรือรัฐมนตรียุติการปฏิบัติหน้าที่จนสร้างความเสียหาย ดังนั้นประธานต้องรับผิดชอบ”พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ย้ำ
ฉุนโดนเตือน โต้เดือดรอง’ศุภชัย’
ระหว่างที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปราย ไม่ระบุถึงประเด็นรายละเอียดในร่างพ.ร.บ.งบฯทำให้นายศุภชัย โพธิสุ รองประธานสภาผู้แทนฯคนที่2ตักเตือน ให้อภิปรายเข้าประเด็น จนเกิดการโต้เถียงเล็กน้อย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พยายามชี้แจงอภิปรายเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมต่อการเสนอร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯก่อนย้อนถามกลับด้วยว่า“ท่านได้เรียนกฎหมายมาหรือไม่ขอให้ทำหน้าที่ให้เป็นกลาง”ทำให้นายศุภชัย ตอบว่า ไม่ได้เรียนกฎหมาย แต่เป็นกลางอยู่แล้ว
ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตอบโต้ไปว่า ตนเห็นนายศุภชัย เดินตามหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถือว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะระดับรองประธานสภาฯจะต้องเดินตามหลังแบบพินอบพิเทาหรือไม่ ที่นี่เป็นสภาฯ ไม่ใช่พรรค จากนั้น นายศุกชัย เตือนว่าขอให้เข้าเรื่องการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ หากไม่เข้าเนื้อหา หรือ ออกนอกเนื้อหา ก็ควรจะนั่งลง ยืนยันว่าตนเป็นกลางอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าจะไปตามใคร
จากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้ถูกทักท้วงจากสมาชิกว่าไม่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ นายศุภชัยได้วินิจฉัยขอให้เข้าประเด็น โดยไม่ย้อนความถึงเรื่องที่ผ่านการพิจารณาไปแล้ว เช่นการถวายสัตย์ปฏิญาณของ ครม. แต่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ทักท้วงการทำหน้าที่ของประธานที่ประชุม ให้ยุติการขัดจังหวะอ้างเนื้อหาที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นประเด็นที่สำคัญ หลังจากพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้อภิปรายเสร็จ ได้นั่งอยู่ในห้องประชุมสภาฯสัก 5 นาที ก่อนลุกออกจากห้องประชุม
‘ผู้การป๊อป’ซัดเหลื่อมล้ำมากขึ้น
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกอาทิมีคนตกงานมาก แสดงว่าภาคการผลิตลดลง ปัญหายาเสพติดสูงขึ้นปัญหาสังคม การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แสดงว่าคนไทยมีกำลังซื้อลดลงซึ่งเกิดจากพิษเศรษฐกิจและการขาดความเชื่อมั่นในอนาคต จึงชะลอการใช้สอยลดลงและนับจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.เป็นต้นมาคนไทยก็ยังไม่มีการจับจ่ายใช้สอย คนก็หยุดใช้เงินการลงทุนน้อยลง นอกจากนี้รัฐบาลยังสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) เอาเงินสะสม 6 แสนล้านบาท มากระตุ้นเศรษฐกิจ ตรงนี้สะท้อนสถานะทางการคลังรัฐบาล อีกทั้งสะท้อนว่ารัฐบาลไม่สามารถกู้ยืมเงินได้
เฮลิปคอปเตอร์มันนี่แจกเงินสิ้นคิด
ส่วนการกระตุ้นโดยใช้บัตรต่างๆ ในรอบ5ปีที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ การแจกเงินในลักษณะนี้เรียกว่า“เฮลิปคอปเตอร์มันนี่”มีตังค์แล้วเอาไปแจก เมื่อหมดแล้วก็หมดไปซึ่งทั่วโลก บอกว่าเป็นนโยบายสิ้นคิด มีแต่ทำให้คนเสียวินัยทางการเงิน ล่าสุด มาตรการ“ชิม ช้อบ ใช้”ก็ไม่ได้ผล เพราะรัฐอยากให้มีการใช้จ่ายหลายๆครั้งแต่ปรากฏว่าคนใช้ครั้งเดียวจบ การจัดสรรเงินงบประมาณในครั้งนี้สิ้นหวัง มาทางไหนก็ควรกลับไปทางนั้น ไปจัดสรรใหม่ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ชะลอการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
อัดจัดงบสิ้นหวังวิกฤติร้ายแรง
พร้อมอภิปรายย้ำว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้าจะสาหัสส่งออกลดลง การเลิกจ้างมากขึ้น จำนวนคนว่างงานจะมากขึ้น กำลังซื้อในประเทศจะหดตัว กิจการต่าง ๆจะหันมาเซ้งกิจการ ค่าเงินบาทแข็งส่งผลต่อการท่องเที่ยว วิกฤตเศรษฐกิจจะใหญ่ และร้ายแรง การจัดสรรงบประมาณปี 2563 สิ้นหวัง ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.นี้มาทางไหนไปทางนั้น ควรไปจัดสรรใหม่ให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ผิดไปจากนี้จองศาลาไว้รอสวด รอเผาได้เลยเพราะแก้ปัญหาไม่ได้แน่นอน
วีระกรหนุนชิมช้อปใช้ไม่สิ้นคิด
ต่อมา เวลา 14.30น.สส.รัฐบาล ได้อภิปราย นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ได้อภิปรายสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล ยืนยันว่านโยบาย “ชิมช้อบใช้”ไม่ใช่นโยบายสิ้นคิด แต่เป็นนโยบายสมคิด(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี)และเห็นว่ารัฐบาลจัดงบประมาณได้ดีเยี่ยม ซึ่งพรรคพลังประชารัฐผ่านให้อย่างแน่นอน
อนค.ห่วงรัฐบาลโกงงบ อทป.
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อและผอ.ด้านโยบาย พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายต่อเนื้อหาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ในส่วนของงบประมาณท้องถิ่น(อปท.)ที่มีลักษณะโดนโกง 3 เด้ง ในส่วนของการโอนรายได้ให้ท้องถิ่น ที่กำหนดให้เป็นสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รัฐบาล แต่การจัดสรรงบประมาณดังกล่าวมีลักษณะเป็นงบทางผ่าน คือ เบี้ยผุ้สูงอายุ เบี้ยผู้พิการ นมโรงเรียน เป็นต้น สำหรับการประมาณการณ์รายได้ของ อปท. มีรายได้มาจาก อปท. จัดเก็บได้เอง,รัฐส่วนกลางจัดเก็บแบ่งให้ และเงินอุดหนุน โดยการคาดการณ์รายได้ปี 2563 เชื่อว่าจะพลาดเป้าเพราะประเมินตัวเลขที่ 7.1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ปี 2562 อทป. จัดเก็บรายได้เพียง 5 หมื่นล้านบาทดังนั้นต้องจัดเก็บรายได้เพิ่มอีก 3.1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่สำนักงบประมาณระบุว่าจะเก็บเพิ่มได้เพียง 1.1หมื่นล้านบาทเท่านั้น สำหรับร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 ที่ตรวจสอบว่ามีจำนวนที่สภาฯ ไม่สามารถตรวจสอบได้ ที่จำนวน 2.5แสนล้านบาท อาทิ เงินนอกงบประมาณ, ค่าใช้จ่ายภาษี ดังนั้นขอให้ปรับลดเพื่อให้อยู่ในส่วนที่สภาฯ สามารถตรวจสอบได้
“จากการตรวจสอบพบว่ามีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้กับโครงการที่พวกท่านหาเสียงไว้ เพียง 2 เปอร์เซ็นต์ อาทิ บัตรคนจน ส่วนโครงการประกันรายได้ พบการใช้เงินของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใช้จำนวนเท่าไร ขณะที่สวัสดิการสังคมซึ่งสำคัญกับความมั่นคงของประชาชน ได้รับงบประมาณเพียงเล็กน้อย และรัฐบาลเหนียวหนี้ ที่ไม่ยอมตั้งเงินชำระหนี้ที่ยืมมาจากส่วนของประกันสังคม ข้อเสนอของพรรคอนาคตใหม่ ควรให้เพิ่มการลงทุนในการลงทุนเล็กๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน สร้างงานให้ประชาชน และให้ท้องถิ่นเป็นผู้ใช้งบลงทุนและให้บริการสาธารณะแทนรัฐส่วนกลาง เป็นต้น”น.ส.ศิริกัญญา อภิปราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี