"จุรินทร์"แจงยิบปมนโยบายประกันรายได้-สถานการณ์ส่งออก หลังฝ่ายค้านถล่มหนัก ยัน"บิ๊กตู่"ให้ความสำคัญ-พร้อมผลักดันเต็มที่
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงนโยบายประกันรายได้เกษตรกรและสถานการณ์การส่งออกของประเทศ ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงเกี่ยวกับการอภิปรายของเพื่อนสมาชิก โดยเฉพาะ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความประสงค์ให้จัดทำงบประมาณใหม่ เพราะไม่ได้ขับเคลื่อนกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร และการส่งออก ที่กล่าวอ้างว่า 10 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกของประเทศไทย ติดลบ 2.5 เปอร์เซ็นต์ และ นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย อ้างว่า คนที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประกันรายได้ คือ เกษตรกรภาคกลางและภาคใต้ แต่เกษตรภาคอีสานไม่ได้รับประโยชน์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดนั้น
ทั้งนี้ ตนขอชี้แจงว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตร เพราะถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก โดยในนโยบายเร่งด่วน 1 ใน 12 เรื่องของรัฐบาล ก็มีความชัดเจนว่า จะมีการดำเนินนโยบายประกันรายได้ ใน 5 พืชหลัก คือ ข้าว ยาง ปาล์ม มันสำปะหลัง ข้าวโพด แต่พืชอื่นๆ รัฐบาลนี้ ก็ดูแลเหมือนกัน แต่ใช้ยาคนละขนาน มาตรการคนละอย่างและมีหลายคนเข้าใจผิดว่า โครงการนี้เป็นการประกันราคา ตนขอชี้แจงว่า ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะขัดกับหลักการขององค์การการค้าโลก หรือ WTO รวมทั้ง ราคาควรจะเป็นไปตามหลักความต้องการของกลไกตลาด รัฐบาลไม่สามารถสั่งการว่าราคาจะเป็นอย่างไร แต่โครงการนี้ ถือเป็นการประกันว่า แม้ราคาจะตกในบางช่วง แต่รัฐบาลจะโอนเงินส่วนต่าง ให้เกษตรกรมีได้รายได้ให้เพียงพอกับยังชีพ จากเดิมได้รายได้เพียงทางเดียว จะเป็นสองทาง โดยรัฐบาลจะโอนเงินตรงเข้าบัญชี ธกส.โดยไม่มีตกหล่น ตามเงื่อนไขพืชนั้นๆ โดยนโยบายดังกล่าวมีความคืบน้ำเป็นลำดับ ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ได้ตั้งงบประมาณเพื่อชดเชย จำนวน 14,000 ล้านบาท ในปีนี้ ซึ่งได้มีการดำเนินการโอนเงินแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ทั้งนี้ จะได้เงินสูงสุดตาม นโยบาย 12,000 บาท
ดังนั้น เรายืนยันว่า นโยบายดังกล่าวทำได้ไวทำได้จริง ตามที่แถลงนโยบายเอาไว้ และจะมีการดำเนินการปีละ 8 งวด งวดละ 45 วัน ซึ่งงวดต่อไป คือวันที่ 15 พฤศจิกายน และจะมีมาตรการให้ราคาปาล์มสูงขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณในการจ่ายเงินชดเชย เช่น การใช้น้ำมัน B 10 ทั่วประเทศ การให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะนำปาล์มจำนวน 1,300,000 ตัน และสำรองอีก 1,000,000 ตัน เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า เพื่อทำให้ราคาปาล์มเข้าสู่ดุลยภาพ ติดมิเตอร์ที่โรงงานน้ำมันปาล์มแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันน้ำมันล้นสต๊อกและป้องกันกดราคา เพื่อประโยชน์ของสวนปาล์ม ส่วนการลักลอบน้ำมันปาล์มนั้น ก็ได้มีตั้งคณะทำงานมาดูแลโดยเฉพาะโดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รวมทั้งมีการเร่งรัดการส่งออก และเร่งออก พ.ร.บ.ปาล์มฯ เพื่อความยั่งยืน และการดูแลปัญหาโดยเฉพาะ
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเรื่องข้าว มีการตั้งงบประมาณ 21,000 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลได้โอนแล้ว เมื่อ 15 ตุลาคม ไปจนกระทั่งหมดคนที่ลงทะเบียน เพราะเนื่องจากว่า เกษตรกรมีการเก็บเกี่ยวข้าวไม่พร้อมกัน จึงมีการทยอยโอนคราวละ 15 วัน ส่วนที่ภาคอีสานนั้น เนื่องจากราคาข้าวแพงเลยรายได้ที่ประกัน คือ 15,000 บาทต่อตัน คือมีการขายได้ถึงราคา 16,700 บาทต่อตัน เลยไม่ได้มีการชดเชย แต่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเกษตรกร เพราะช่วยให้รายได้สูงขึ้น แต่ถ้าหากข้าวราคาต่ำกว่าราคา 15,000 บาทต่อตัน มีเงินส่วนต่างชดเชยแน่นอน ทั้งนี้ หากประสบปัญหาน้ำท่วม และ ภัยแล้ง รัฐบาลก็พร้อมดูแลให้เกษตรกรให้ได้เงินเหมือนเดิม
สำหรับยางพารา ได้ตั้งงบไว้ 24,000 ล้านบาท โดยจะมีการประกันรายได้ คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%)57 บาท/กิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 50%) 23 บาท/กิโลกรัม ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ จะโอนส่วนต่าง 1 - 15 พย ใช้เวลา 15 วันเนื่องจากต้องมีการตรวจสวน โดยการโอนต้องเสร็จภายในวันที่ 15 พย ซึ่งตอนนี้ยังสามารถขึ้นทะเบียนได้ ขอให้ขึ้นทะเบียนตามความเป็นขจริง คนกรีดยางก็ได้ ตามสัดส่วน 60/40 กับเจ้าของสวนสำหรับมันสำปะหลัง มีการนัดประชุมสามฝ่าย ที่ จ.อุดรธานี วันที่ 27 ตุลาคม และ ข้าวโพด จะมีการประชุมที่ จ.เพชรบูรณ์ ภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะนำเรื่องเข้า ครม.ตามกระบวนการเหมือนสินค้าเกษตรอื่นต่อไป นอกจากนี้ ผลไม้ รัฐบาลนี้ก็ได้ดูแลอย่างดี โดยเฉพาะ ทุเรียน ลำไย มีความต้องการสูง ส่วน มังคุด ลองกอง สามารถแก้ปัญหา จนสถานการณ์เป็นไปด้วยดี อีกทั้ง ยังมีมาตรการ ที่อนุญาตให้หิ้วผลไม้ขึ้นเครื่องบินได้ฟรี 20 กิโลกรัม เพื่อเป็นการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ และไปรษณีย์ไทยช่วยดำเนินการระบายผลไม้ได้อย่างดี มะพร้าว ราคาสูงขึ้น ราคาลูกละ 15 บาท และตนจะนำทัพไปเปิดตลาดผลไม้ที่จีนด้วย
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนกลไกการส่งออกนั้น ก็เป็นความจริงตามที่ฝ่ายค้านอภิปราย เนื่องจากปัญหาของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ สงครามการค้าจีน สหรัฐ การออกจากอียูของประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกว่าเบรทซิท ซึ่งกระทบกระเทือนทั่วโลก หลายประเทศก็ส่งออกติดลบ ยกเว้น กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม เพราะฐานการส่งออกยังแคบอยู่จึงเป็นที่มาหลายประเทศทั่วโลกจับมือแก้ปัญหา เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ ไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาตัวเลขการส่งออก อีกทั้ง ตนตระหนักดีว่าสถานการณ์ส่งออกไม่ได้อยู๋ในภาวะปกติ เราจึงตั้ง กรอ พณ เพื่อประสานความร่วมมือ โดยให้เอกชนเป็นพระเอก เป็นทัพหน้า ภาครัฐเป็นทัพหนุน เพื่อจับคู่ผู้ส่งออก รวมทั้งได้มีการส่งเสริมบทบาทของ ทูตพาณิชย์ โดยจะไม่ทำหน้าที่เฉพาะส่งเสริมการขาย หรือเจรจาทางการค้า แต่ต้องไปเป็นพนักงานขายด้วยตัวเอง ซึ่งตนเชิญทูตพาณิชย์ทั่วโลก กลับมาประเทศไทย เพื่อดูกระบวนการผลิตสินค้าจริงๆ เพื่อให้มีข้อมูลในการขายสินค้า โดยเฉพาะ สินค้า ข้างมัน ยาง ปาล์ม รวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ และจะมุ่งเน้นเรื่องการค้าชายแดน เพราะถือเป็นหัวใจสำคัญ และมีอุปสรรคมาก โดยแก้ปัญหาไปหลายข้อแล้ว ทั้งที่สะเดา มุกดาหาร และแม่สอด และได้ยืนยันแล้วว่าสะพานมิตรภาพแม่สอดแห่งที่สองเปิดได้แล้ววันที่ 30 ตุลาคม จะช่วยส่งเสริมการส่งออกไปพม่า ถึงอินเดีย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาชี้แจงสมาชิกเพื่อให้ทราบว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก รายได้เกษตรกร และการส่งออกเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ตนได้เห็นความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีวนที่ประชุมครม.ทุกครั้งที่เกี่ยวกับปัญหาปากท้องและการแก้ไขเศรษฐกิจฐานราก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี