โดนซักหนัก‘จำไม่ได้’
‘ธนาธร’ดิ้น
เบิกความปมถือหุ้นสื่อ
ยันไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ศาลนัดตัดสินคดี20พย.
“ธนาธร”เบิกความปมถือหุ้นสื่อ เจ้าตัวยันไม่ได้เกี่ยวข้องการบริหาร โดนซักหนักตัดบทบอก “จำไม่ได้” ธุรกิจเยอะ ระบุบึ่งรถจากบุรีรัมย์ โอนให้มารดาแล้ว เมื่อ 8 มกราคม 2562จ่อฟ้องกลับ กกต.หากหลุดคดี จะไปให้ จะโอนทรัพย์ให้บุคคลที่ 3 ไปจัดการ เพราะไม่อยากให้ถูกมอง มีผลประโยชน์เหมือน “ทักษิณ” ขณะที่ศาล รธน.นัดอ่านคำวินิจฉัยคดี 20 พฤศจิกายนนี้
องค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม เวลา 09.00 น.ไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร( ส.ส.)ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.หรือไม่
สำหรับรายชื่อพยาน 10 ปาก ที่ศาลนัดไต่สวนนัดนี้ ประกอบด้วย 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2.นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ 3.นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ 4.นายปิติ จรุงสถิตย์พงศ์ หลานที่รับโอนหุ้น 5.นายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ หลานที่รับโอนหุ้น 6. น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงานวีลัค 7.น.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงาน วีลัค 8.นายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนาย 9.นายพิพัฒพงศ์ รุจิตานนท์ ทนาย 10.นายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถ
ซึ่งศาลได้อธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปาก ว่า ต้องการทราบว่าการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดา) เกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่
จากนั้นศาลได้เบิกตัวนายธนาธร ขึ้นเป็นพยานปากแรก และซักถามในเรื่องของการเปลี่ยนชื่อบริษัท การประกอบธุรกิจสื่อของบริษัทวี-ลัค มีเดีย และถ้าจะเลิกบริษัทต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ทาง นายธนาธร ชี้แจงว่า มีการโอนหุ้น 675,000 หุ้นให้กับนางสมพรวันที่ 8 มกราคม 2562 โดยก่อนจะชื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย เคยใช้ชื่อบริษัทโซอิด ส่วนจะถือว่าบริษัทประกอบกิจการสื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใดๆในบริษัท เป็นเพียงผู้ถือหุ้น และหลังจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว การดำเนินธุรกิจซึ่งต้องอนุญาตตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ ก็เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารจะจัดการ ตนไม่เคยเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้องเลย
ทั้งนี้ ตนเพิ่งเข้ามาในระหว่างทางคือช่วง 4-5 ปีหลัง เนื่องจากหลังแต่งงาน มารดาอยากให้ลูกหลานและสะใภ้มีงานทำ โดยนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของตน ซึ่งเคยลาออกจากงานในธนาคารมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกเติบโตขึ้นทำให้ภรรยาของตนว่างงาน นางสมพรจึงชวนให้เข้ามาบริหารบริษัทวี-ลัคมีเดีย จึงเป็นที่มาของการซื้อหุ้น ส่วนหลังเลิกกิจการวี-ลัคมีเดียแล้วต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานการพิมพ์นั้น ตนไม่ทราบหลักการ และไม่เคยยุ่งกับกิจการบริษัทนี้
จากนั้น ศาลซักถามถึงเหตุผลในการกำหนดให้วันที่ 8 มกราคม 2562 เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่ในวันดังกล่าวมีภารกิจหาเสียงใน จ.บุรีรัมย์ นายธนาธร กล่าวว่า วันดังกล่าวไม่ใช่เป็นวันพิเศษอะไร และจำไม่ได้จริงๆว่ามีตารางนัดลงพื้นที่หาเสียงก่อน หรือนัดเซ็นโอนหุ้นก่อน โดยปกติตนสามารถทำงาน 2 อย่างได้ภายในวันเดียวกัน ตอนทำงานในภาคธุรกิจทำงานหนักกว่านี้ ดีกว่านี้
ในการเดินทางไปหาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ แล้วต้องกลับมาเซ็นโอนหุ้นที่กรุงเทพฯ เดิมตนวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจาก จ.อุบลราชธานี แต่เวลาที่ใช้ในการเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ไป จ.อุบลราชธานี ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เมื่อรวมกับเวลานั่งเครื่องบิน จึงเห็นว่าใช้ ไม่ต่างจากการขับรถกลับบ้านโดยตรง อีกทั้งตนเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์ เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย
โดยออกจาก จ.บุรีรัมย์ ในเวลา 11.00 น. และนั่งรถยนต์มากับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ตนหลับมาตลอดทาง ระหว่างการเดินทางไม่ได้โทรศัพท์พูดคุยหรือติดต่อกับใครเลย เพราะได้นัดหมายกับทนายความไว้แล้วในเวลา 17.00 น. โดยเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ประจำ คือ หมายเลข 081 822 XXXX ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ใน จ.บุรีรัมย์ ได้ใช้โทรศัพท์คุยกับใครบ้างหรือไม่นั้น ตนจำไม่ได้
นายธนาธร ยอมรับว่า ระหว่างการเดินทางมีข้อเท็จจริง 2 จุด คือ รถยนต์ฮุนได หมายเลขทะเบียน 8839 ถูกจับความเร็วที่นางรอง และ อ.คลองหลวง ก่อนจะถึงบ้านพักเลคไซด์วิลล่า ซึ่งเป็นจุดนัดทำสัญญาโอนหุ้นวีลัคมีเดีย ในเวลา 16.00 น.
เมื่อตนกลับถึงบ้านก่อนเวลานัด จึงได้ไปทักทายภรรยาและทนายความ รอจนถึงเวลานัด 17.00 น. เมื่อนางสมพร นางลาวัลย์ จันทร์เกษม นางกานต์ฐิตา อ่วมขำ และนายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ เดินทางมาถึงแล้ว จึงเซ็นโอนหุ้นโดยตนรับรู้เฉพาะส่วนของการเซ็นโอนหุ้นเท่านั้น ตัวพยานไม่แน่ใจว่าแม่หรือทนายความเป็นผู้สั่งการให้ดำเนินการ หลังจากการเซ็นโอนหุ้นยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอีกเลยจนสมัครรับเลือกตั้ง
ต่อมาศาลซักถามถึงเงินที่ได้รับจากการโอนขายหุ้นวี-ลัค มีเดียว่า มีการนำเช็คกว่า 6 ล้านบาทไปขึ้นเงินอย่างไรนายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้แม้จะเป็นเช็คที่มีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นเช็คใบไหน เซ็นวันไหน เพราะตนมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด แม้แต่เช็คได้รับจากการไปร่วมสัมมนาก็มอบให้ภรรยาจัดการ ตนไม่เคยจับแม้แต่สมุดบัญชี
ส่วนประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคมนั้น ตนไม่เคยถามและไม่เคยรู้ อาจเป็นเพราะครอบครัวของตนไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางทีเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้า เป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ
ต่อมาศาล ซักถามว่า ขณะที่ได้รับหุ้นวีลัค-มีเดีย 675,000 หุ้นในปี 51 ซื้อมาหรือได้มาโดยเสน่หา นายธนาธร กล่าวว่า ตนซื้อมาในราคาพาร์ แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากใคร อาจะเป็นการซื้อหุ้นจากนางสมพร และจำไม่ได้ว่าหลังซื้อหุ้นมาแล้วได้ไปจดแจ้งไปที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือไม่ ส่วนการนัดโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 นั้น มีการนัดหมายล่วงหน้านานเท่าไร ตนจำไม่ได้ โดยเมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี 2560 ตนได้ลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้นปี 2561 ในเดือนมกราคม 2562 ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน โดย พรฎ.เลือกตั้ง ประกาศในช่วงปลายเดือนมกราคม
ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมวันไหนเราก็นัดวันนั้นเนื่องจากครอบครัวของตนมีกิจการหลายบริษัท ในช่วงครึ่งหลังของปี2561ต่อเนื่องถึงต้นปี2562ได้ทยอยก็ทำมาเรื่อยๆวันที่ 8 มกราคม2562จึงไม่ใช่วันสำคัญอะไรเพราะทำมาอย่างต่อเนื่อง ธุรกรรมสุดท้ายคือเดือนเมษายนตนไม่ได้โอนเฉพาะหุ้นวี-ลัค มีเดีย เพราะมีหุ้นอยู่30บริษัทตนทำธุรกิจมา20ปี ซื้อขายหุ้นไทยและต่างชาติเป็นร้อยๆครั้งไม่มีครั้งใดที่ตนไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยตนเอง เมื่อเซ็นจบคือจบที่เหลือเป็นเรื่องของธุรการของบริษัท สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหลังเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ตนก็ไม่เคยดูเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ธุรการตนไม่เคยแม้แต่ถือกลับบ้าน
จากนั้นฝ่าย กกต.ผู้ร้องได้ซักถามถึงนางลาวัลย์และนางกานต์ฐิตา ซึ่งร่วมเป็นพยานในเอกสารโอนหุ้น ว่าเป็นพนักงานของบริษัทไทยซัมมิทมานานกว่า 10 ปีใช่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ทั้ง 2 คนไม่ใช่พนักงานของ บ.วีลัค-มีเดีย เพราะได้ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 61 แต่พยานทั้ง 2 คนดังกล่าว เป็นพนักงานในเครือบ.ไทยซัมมิท พร้อมยืนยันว่า ตนไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของบ.วีลัค-มีเดีย ส่วนที่ให้บุคคลทั้ง 2 รายนี้มาเซ็นเป็นพยานคงเป็นเพราะนางสมพรเป็นผู้ดำเนินการจัดการ
เมื่อถูกซักถามย้ำไปมาถึงพยานทั้ง 2 ราย นายธนาธรยอมรับว่า รู้จักพยานทั้ง 2 รายนี้ เพราะทำงานไทยซัมมิทมานาน 10 ปี สาเหตุที่ให้มาเป็นพยานเพราะรู้จัก หรือจะให้ผมเชิญคุณ ซึ่งผมไม่รู้จักมาเป็นพยาน นอกจากนี้ นายธนาธร ยังยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารของ บ.วีลัค-มีเดีย ไม่เคยทราบว่ากิจการขาดทุนด้วยซ้ำ
เมื่อถูกซักถามถึงบัญชีเอกสารที่อ้างส่งศาล ซึ่งไม่มีงบการเงินบริษัทวี-ลัค มีเดีย นายธนาธร ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า จำไม่ได้ เพราะเอกสารเยอะมาก และไม่เห็นว่าการส่งหรือไม่ส่งจะเป็นสาระสำคัญในคดี เมื่อถูกถามย้ำถึงการจดแจ้งเลิกกิจการบ.วี-ลัค มีเดีย อย่างเป็นทางการ นายธนาธร กล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า “จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้”
ต่อมาทนายความของนายธนาธรซักถามเพื่อให้นายธนาธรชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายในหลายประเด็นและตนขอสงวนสิทธิถ้าคสช.หมดอำนาจตนจะดำเนินคดีกกต.
“ผมตั้งใจอย่างจริงจัง ที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่อผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่ นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบายทรัสต์(ให้บุคคลที่3เข้ามาจัดการทรัพย์สิน ทันที เพื่อสร้างมาตรฐานทางการเมือง”นายธนาธร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการไต่สวนพยานปากต่อไป คือนายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ โดยศาลได้ซักถามว่า การทำเอกสารสัญญาโอนหุ้นดังกล่าวทนายจัดเตรียมใช่หรือไม่ นายณัฐนนท์ ชี้แจงว่า เป็นคนที่จัดเตรียมการทำสัญญาดังกล่าว มีนายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย พรรคอนาคตใหม่ เป็นคนมอบหมายว่า นายธนาธรประสงค์โอนหุ้น และนายพุฒิพงศ์เป็นคนให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา ทั้งส่วนข้อมูลที่บรรจุในสัญญา ตลอดจนผู้รับรองการทำสัญญา
จากนั้น มีการไต่สวนพยานปาก 3 คือ นายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ ซึ่งเป็นคนขับรถของนายธนาธร ชี้แจงว่า ทำงานขับรถส่วนตัวให้กับนายธนาธรและภรรยา มาแล้ว 2 ปีแล้ว ยืนยันว่าในวันที่ 8 ม.ค. ได้ขับรถออกจาบุรีรัมย์มายัง กทม.จริง มีผู้โดยสารในรถเพียงนายธนาธรคนเดียว ออกจาก อ.สตึก หลังนายธนาธรขึ้นเวทีปราศรัยเสร็จตอนเช้า ประมาณ 11.00 น. ถึง กทม.ประมาณ 16.00 น. แต่ตนไม่ได้เข้าในบ้าน จึงไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง แต่สังเกตเห็นว่า มีรถที่ไม่ใช่รถในบ้านมาจอดอยู่ 1 คัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นรถของใคร
ด้านนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เบิกความว่า ยืนยันว่าวันที่ 8 มกราคม มีการโอนอุ้นจริง ตนทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุ 23 ปีขณะนี้อายุ 68ปี ยึดมั่นในกรอบกฎหมายมตลอด
ทั้งนี้ คำให้การประเด็นโอนหุ้นของนางสมพร สอดคล้องกับคำให้การของนาง นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยานายธนาธรและพยานรายอื่นๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังแล้วเสร็จการไต่สวนพยาน ศาลนัดให้คู่กรณีส่งคำแถลงการภายใน15วัน และนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีในวันที่ 20 พฤศจิกายน เวลา 14.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี