กลุ่มต้านแบน3สารประกาศ
ร้องศาลทันทีที่กม.บังคับใช้
กระทรวงเกษตรฯเดินหน้าขับเคลื่อน จัดตั้ง “สถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ”หนุน พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน ต้านนำสารเคมีมาแทน 3 สารที่ถูกแบน วอนเร่งวิจัย ทดลอง เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรไทย ขณะที่ภาคเกษตรกรต้านแบน 3 สาร ลั่นจะร้องศาลปกครองรอบ2ทันที หลังประกาศกระทรวงอุตฯ มีผลบังคับใช้
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าเพื่อ เป็นการสนับสนับแนวนโยบายเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯได้สั่งการให้มีการดำเนินการจัดตั้ง สถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ขึ้น โดยหน่วยงานดังกล่าว จะเป็นหน่วยงานสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ ทั้งระบบ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ ในอนาคต อย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน ยัง มีการขับเคลื่อนในการเสนอร่างกฎหมาย พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน ของการพิจารณาของกฤษฎีกา โดยทิศทางเรื่องเกษตรกรยั่งยืนในอนาคต ถือเป็นทิศทางในการส่งเสริมการผลิตสินค้าด้านการเกษตรไทย ให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น เนื่องจากประเทศ ไทย เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้า เกษตรเพื่อการส่งออกรายใหญ่ของโลก ต้องเน้นหนักเรื่องการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อการส่งออกเป็นหลัก
“ขณะนี้ประเทศไทย ส่งออก อาหารเป็นอันดับ12ของโลก แซง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาแล้ว การสร้างให้เราเป็นแหล่งอาหารของ โลก และเป็นนแหล่งอาหารลปอดภัย ของโลกจึงเป็นนโยบายหลัก ซึ่งที่ผ่านมา จากที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติ แบนสารเคมีจึงเป็นโอกาส ดีที่คงต้องใส่เกียร์5หาทางเลือกสารมาทดแทน ไม่ควรเป็นสารเคมี เพียงแต่ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตร ยืนยันว่ามี แต่สารเคมีเท่านั้นที่จะเอามาแทนสารเคมี ที่ถูกแบน จึงคิดว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำ เพราะกระทรวงเกษตรฯอธิบายกับสังคมไม่ได้ จึงสั่งให้มีการทบทวนและต้องไปดูว่ามีสิ่งทดแทนอะไรบ้างเพื่อ เสนอเป็นทางเลือก ให้กับเกษตรกรที่จะต้องไม่เป็นสารเคมี”ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯย้ำ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่าในส่วนของการแบน3สารเคมี อย่างฉับพลัน ขณะนี้ยอมรับว่าค่อนข้างเป็นปัญหาอย่างมากเนื่องจากไม่เคยมีเรื่องการเตรียมพร้อมในสารใดทดแทนที่ชัดเจน ขณะนี้ มีการนำเสนอ เรื่องชีวะภัณฑ์ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกแต่ก็ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนและยังไม่ผ่านการทดสอบ และการรับรองอย่างเป็นทางการ อยากให้ทางกลุ่มนักวิจัยที่มีทั้งหมด หากคิดค้นว่ามีสิ่งใดที่สามารถทดแทน สารเคมีที่ถูกแบน ไม่ว่าจะเป็นชีวะภัณฑ์หรือสารทดแทนอื่น ขอให้เสนอมายังกระทรวงได้ทันที เพื่อพิจารณาส่งเสริมเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร ในอนาคต เมื่อกระทรวงสาธารณสุขบอกว่าต้องการดูแลเรื่องสุขภาพเกษตรกร มาเป็นข้อเหตุผลก็ต้องทำจริง วันนี้ต้องชัดเจน ไม่ใช่เสนอ ทางเลือกโดยใช้สารเคมีตัวอื่นมา เป็นทางเลือกซึ่งก็ร้ายพอกัน กระทรวงเกษตรต้องรับผิดชอบเกษตรกร 30ล้านคนต้องมีเหตุผลที่ดีเช่นกันและ ต้องดูแลเกษตรกรให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องต้นทุน และสารทางเลือกที่เป็นชีวภัณฑ์ ที่ไม่ใช่ เคมีให้ดีที่สุด
ด้านนายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการ สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า เตรียมจะร้องศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองชั่วคราวอีกครั้ง ทันทีที่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดมีผลบังคับใช้ เกษตรกรจำนวนมากไม่สบายใจในการปฏิบัติของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ต้นทุนจะสูงขึ้นจากการห้ามใช้สารเคมี 3 ชนิด แต่กรมวิชาการเกษตรออกคำสั่งกำหนดแผนแจ้งการครอบครองและส่งมอบสารเคมีแล้ว จึงเห็นว่าการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเพียงการทำให้ครบตามขั้นตอนเท่านั้น แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะนำความคิดเห็นของประชาชนและเกษตรกรไปพิจารณา เพื่อตัดสินใจแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นางสาว มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯยังระบุว่าค่าทำลายสารเคมีเป็นความรับผิดชอบของผู้ครอบครอง เกษตรกรทั่วประเทศที่ซื้อสารเคมี3ชนิดมาไว้ใช้นั้นต้องจ่ายค่าทำลายที่มีอัตราสูงมากอีก หากสารวัตรเกษตรมาไล่จับเกษตรกร เชื่อว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายแน่นอน ล่าสุด สมาพันธ์เกษตรปลอดภัยเปิดบัญชีให้เกษตรกรส่งเงินมาสนับสนุนค่าจ้างทนายความ เพื่อร้องต่อศาลปกครอง ทนายความที่รับว่าความแจ้งค่าใช้จ่าย 800,000 บาท จึงขอให้เกษตรกรร่วมสมทบตามกำลัง อีกทั้งกำลังเตรียมเอกสารให้เกษตรกรที่เดือดร้อนเป็นโจทย์ร่วม
นายสุกรรณ์ ยังแสดงความเห็นถึงการที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯมอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ ไปตรวจเยี่ยมแปลงอ้อยของเกษตรกรรายหนึ่งในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยระบุว่าเป็นแปลงอ้อยอินทรีย์ใช้สารชีวภัณฑ์ของผู้ผลิตรายหนึ่ง เพื่อกำจัดวัชพืชมา 7 ปีซึ่งได้ผลดี ทั้งนี้ ต้องการทราบผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการว่าจุลินทรีย์ที่กล่าวอ้างว่ากำจัดวัชพืชได้นั้นเป็นชนิดใด หากกำจัดวัชพืชได้จริงส่งผลต่อพืชประธานหรือไม่ หากได้ผลดีจริง จะได้นำมาใช้ในแปลงอ้อย 420 ไร่ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย จึงขอให้กรมวิชาการเกษตรเร่งทดสอบประสิทธิภาพ แต่ก่อนขึ้นทะเบียนสารชีวภัณฑ์ดังกล่าว ขอให้ตรวจให้แน่ชัดว่าไม่มีสารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืชอื่นใดผสมอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรจำนวนมากถูกหลอกให้ซื้อสารชีวภัณฑ์หลายยี่ห้อมาใช้ แต่เมื่อตรวจสอบในห้องปฏิบัติการพบว่าผสมพาราควอตและไกลไฟเซตลงไปขายราคาแพงอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี