ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติเอกฉันท์ส่งศาลรัฐธรรมนูญ เหตุ “พ.ร.บ.คำสั่งเรียก” ขัดรัฐธรรมนูญ ยันพิจารณาตามข้อกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับกมธ.ป.ป.ช.มีคำสั่งเรียก ”บิ๊กตู่” แจงปมถวายสัตย์
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธ
ศักราช 2560 มาตรา 129 และให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 231(1)ของรัฐธรรมนูญ 2560
ประกอบมาตรา 23(1) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ภายในวันนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 135 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมาธิการของทั้งสองสภามีอำนาจออกคำสั่งเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำ หรือในเรื่องที่พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาอยู่นั้นได้ และเพื่อให้คำสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 13 ก็ได้บัญญัติว่าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต่อมาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ได้กำหนดกลไกการดำเนินกิจการของทั้งสองสภาไว้ในมาตรา 129 ให้คณะกรรมาธิ
การทั้งสองสภามีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้น และได้บัญญัติวิธีการให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงตามที่กมธ.ทั้ง 2 สภาต้องการในลักษณะมาตรการเชิงบังคับว่าให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจการที่คณะกรรมาธิการของทั้งสองสภาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษา ต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือในกำกับให้ข้อเท็จจริงส่งเอกสาร หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการของทั้งสองสภาเรียก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้คณะกรรมาธิการของทั้งสองสภากระทำกิจการเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสองสภาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ได้มีการกำหนดบทลงโทษทางอาญาต่อบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามการเรียกของกมธ. จึงเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 129 ให้กมธ.มีอำนาจเพียง “เรียก” มิได้ให้อำนาจในการ “ออกคำสั่งเรียก” เหมือนมาตรา 135 ของรัฐธรรมนูญ
2550 จึงถือว่าพ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 มาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 13 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 129
นายรักษเกชา ยืนยันว่า การพิจารณาดังกล่าวของผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นการพิจารณาข้อกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ ไม่ได้เกี่ยวกับการที่กมธ.ป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎรจะออกคำสั่งเรียกนายกรัฐมนตรี กรณีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน และเมื่อส่งให้ศาลรัฐธรรม
นูญวินิจฉัยแล้ว เป็นดุลยพินิจของประธานกมธ.ที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร กับคำสั่งเรียกเอกสารหรือบุคคลที่ได้มีมาก่อนหน้านี้ เพราะผู้ตรวจไม่ได้มีอำนาจที่จะกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวระงับคำสั่งเรียกดังกล่าวได้ รวมทั้งเป็นดุลยพินิจของผู้ที่ถูกเรียกว่าจะไปให้ข้อมูลหรือรอการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:ผู้ตรวจการฯรับคำร้อง‘ไพบูลย์’ถกพรบ.คำสั่งเรียกกมธ.ขัดรธน.60หรือไม่)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี