เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม กล่าวระหว่างร่วมพูดคุยกับตัวแทน Startup ที่เกิดขึ้นจริง ผ่านทางเพจ "ไทยคู่ฟ้า" ตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยต้องเร่งรัดการเจริญเติบโตให้เป็นในลักษณะการก้าวกระโดดเราต้องกระโจนหรือทะยานไปข้างหน้าไปสู่โลกภายนอกสิ่งสำคัญคือการสร้างนวัตกรรมใหม่ ด้วยกันลงทุนทางด้านความคิด สติปัญญา เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจออกมา แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็กแต่ก็สามารถที่จะขยายไปสู่การลงทุนหรือธุรกิจขนาดใหญ่ในอนาคต รัฐบาลดำเนินการเพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพมาประมาณ 3 ปีแล้ว
โดยปีแรก 2559 เริ่มต้นประมาณ 200 ราย จนมาถึงปี 2561 เพิ่มมาเป็น 1,500 ราย ซึ่งรัฐบาลโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า และกระทรวงดิจิทัลก็ได้เข้าไปสนับสนุนและดูแล ซึ่งปัจจุบันมีอยู่อีก 8,500 ราย ที่รอจดทะเบียนแสดงว่าเรามีคู่แข่งขันที่มากขึ้น ซึ่งถ้าสามารถจดทะเบียนและรับรองได้ทั้งหมดก็จะสามารถสร้างงานได้อีกประมาณ 15,000 อัตราซึ่งจะมีเงินลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอีกประมาณ 35,000 ล้านบาท รัฐบาลจึงเร่งสนับสนุนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบ การสร้างการรับรู้ การบ่มเพาะ การอำนวยความสะดวกและขจัดอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจที่ตรงกันและเดินไปข้างหน้าอย่างพร้อมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพภาครัฐและภาคธุรกิจ เอสเอ็มอีเดินไปด้วยกัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนในทุกๆด้าน อีกทั้ง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า ก็ได้ช่วยกันคิดและเสนอแนะ ทั้งนี้จำเป็นจะต้องระดมเงินลงทุนซึ่งลำพังภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ วันนี้ภาคเอกชนก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐวิสาหกิจ จัดตั้งเป็นบริษัทเพื่อระดมเงินทุนและขยายตัวไปยังต่างประเทศ วันนี้เราต้องเร่งปรับตัวให้ทันปัจจุบันมีเงินลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแล้วประมาณ 515 ล้านบาท เรามีการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพในหลายระดับ ระดับเอมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ระดับดีมูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งเราจะต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้มีมุระค่าเพิ่มสูงมากขึ้นไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ถึงต่างประเทศหรือที่เรียกว่ายูนิคอร์น
"ในการทำธุรกิจสตาร์ทอัพรัฐบาลก็ได้ช่วยกันพิจารณามีการแก้ไขกฎระเบียบในหลายหลายด้านซึ่งรัฐสามารถใช้เงินของทุกหน่วยงานทุกกระทรวงมาวิจัยพัฒนาในหน่วยงานของตัวเองได้ร้อยละ 30% ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนผลงานวิจัยผลงานของกลุ่มสตาร์ทอัพต่างๆของคนรุ่นใหม่และสิ่งที่รัฐบาลสามารถที่จะสนับสนุนให้ดีขึ้นหรือการเป็นรัฐบาลที่เรียกว่า G-Goverment นั้นก็เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกลับด้วยกันภาครัฐโดยสะดวก อย่างระบบการรักษาแพทย์ทางไกล การสั่งจ่ายยาด้วยระบบอิเลคทรอนิกส์ ระบบการยื่นขอภาษีหรือการให้บริการระบบข้อมูลกับประชาชน เราต้องให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ถ้าประชาชนรู้กระบวนการการบริหารภาครัฐกฎระเบียบของส่วนราชการทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ต่างคนต่างคิดก็เป็นเรื่องยาก สุดท้ายพอมาเจอกันปัญหาจะเยอะ ถ้าช่วยกันคิดตั้งแต่ต้นก็จะลดปัญหาอุปสรรคลงได้ดีกว่ามาแก้ภายหลัง" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป้าหมายของรัฐบาลต้องการให้มีการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ของงบประมาณภาครัฐ ซึ่งกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังกรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาวิธีการที่จะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างและธุรกิจนวัตกรรมใหม่ใหม่มีความสะดวกและง่ายขึ้น อีกทั้งไปหาวิธีการมาว่าทำอย่างไรธุรกิจสตาร์ทอัพจะมีการแข่งขันกันมากขึ้น เพราะยิ่งมีการแข่งขันธุรกิจก็ยิ่งดีขึ้น ประชาชนจะได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ในเรื่องของกฎหมายกฎระเบียบไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง พาณิชย์ และกฎหมายในการลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ สตาร์ทอัพก็ต้องมีการปรับทั้งหมด เนื่องจากกฎหมายบางฉบับออกมาหลายปีแล้ว วันนี้โลกเปลี่ยนจึงต้องมาหาวิธีการสร้างแรงจูงใจและการดึงดูดให้คนมาลงทุนซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังเร่งดำเนินการอยู่ เรื่องของกฎหมายเพื่อที่จะได้เดินหน้าไปพร้อมกัน ทั้งนี้ขอให้นักธุรกิจสตาร์ทอัพได้ไปศึกษาและเพิ่มขีดการแข่งขันในธุรกิจในตลาดที่ยังไม่มีการแข่งขันสูงหรือ บลู โอเชี่ยน สร้างสินค้าที่มีคุณภาพและคุณค่า เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รับความสะดวกสบาย การอำนวยความสะดวก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี