จับตาศาลรธน.วินิจฉัย
ธนาธรลุ้นระทึก
คดีถือหุ้นสื่อหลุดสส.
วางกำลังตำรวจคุมเข้ม
กกต.ลั่นทำตามขั้นตอน
จี้‘อนค.’ยื่นแจงปมกู้เงิน
‘ชวน’ยันกฎเหล็กของเก่า
ศาลรธน.นัดอ่านคำวินิจฉัย คดี“ธนาธร”ปมถือหุ้นสื่อ สั่งถ่ายทอดสด พร้อมวางมาตรการตรวจสื่อเข้ม กกต.งัดข้อกม.โต้“ธนาธร”ฟ้อง 7 กกต. ยันส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสถานภาพ สส.ทำตามขั้นตอน รธน.ปัดเร่งรัด กกต.มติเอกฉันท์ ให้อนค.ส่งเอกสารแจงคดี“ธนาธร”ให้อนค.กู้ยืมเงิน ด้าน“ชวน”ยันวางกฎเหล็กเรียกบุคคล กมธ.ปัดเอื้อใคร ในอดีตเคยใช้ไม่เห็นมีใครบ่น ขณะที่“สิระ-ปารีณา”ดอดเข้าทำเนียบฯ“สิระ”ลั่น“เสรีพิศุทธ์–วัฒนา”มีคนทำผิดแน่ หลังแต่งตั้งนั่งที่ปรึกษาปธ.กมธ.ล่วงหน้า ชี้ผิดรุนแรง ไม่เหมาะนั่ง ปธ.‘ปารีณา’แจ้งความเอาผิด’วัฒนา’ ส่วน‘สิระ’ฟ้องอาญา’เสรีฯ’หมิ่นประมาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายนเวลา14.00น.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส.หรือไม่
ศาลรธน.วินิจฉัย’ธนาธร’ปมหุ้นสื่อ
คดีนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ยื่นคำร้องและศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต.ไว้วินิจฉัย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม และ สั่งให้นายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย ต่อมา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนพยานจำนวน10ปาก ก่อนที่จะนัดอ่านคำวินิจฉัย ในวันพุธที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ขณะเดียวกัน จะมีการตรวจสอบบัตรสื่อมวลชนอย่างเข้มงวดในวันดังกล่าว
สำหรับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดประชุมในเวลา 10.00 น. เพื่อแถลงคดีด้วยวาจาและลงมติ ก่อนที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยในเวลา 14.00 น.และเพื่อไม่ให้ผลการวินิจฉัยรั่วไหลก่อนที่จะมีการออกนั่งบังลังก์ ทางศาลจะมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่วงๆพร้อมให้ตุลาการอยู่ภายในห้องประชุมจนกว่าจะจัดทำคำวินิจฉัยเสร็จสิ้นและออกนั่งบัลลังก์ ซึ่งมีรายงานว่านายธนาธร และแกนนำพรรคอนาคตใหม่จะเดินทางมารับฟังคำวินิจฉัยด้วยตนเองในเวลา13.30น.
คุมเข้มรับกองทัพสื่อ-กองเชียร์
ทั้งนี้ ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้แจงแนวทางการดำเนินการอ่านคำวินิจฉัย โดยศาลจะทำการถ่ายทอดภาพ และเสียงจากห้องออกนั่งพิจารณาลงมาที่ห้องสื่อ และบริเวณโถงด้านหลัง ตามที่เคยปฎิบัติ รวมทั้ง ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชน เข้า-ออก ประตูทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้เท่านั้น สำหรับสื่อมวลชนที่มาทำข่าว ขอให้แสดงตน โดยนำบัตรสื่อมวลชนของท่านมาแลกบัตรของทางศาล เพื่อเข้าพื้นที่บริเวณที่กำหนดไว้ โดยศาลได้จัดเตรียมสถานที่และวางมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการนำแผงเหล็กมากั้นแนวเขตของศาลรัฐธรรมนูญโดยแบ่งออกเป็นโซนสื่อมวลชนที่มีการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดจากห้องพิจารณาคดีลงมายังบริเวณชั้นล่างและห้องสื่อมวลชนได้รับฟัง ส่วนอีกโซนหนึ่ง เป็นจุดแรกบัตรและตรวจค้นอาวุธ ซึ่งจะอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นห้องพิจารณาคดี โดยที่จุดนี้ตัวแทนผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดี จะต้องแลกบัตรและตรวจอาวุธ รวมทั้งฝากสิ่งของ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
ส่วนประชาชนที่จะมาให้กำลังใจ หรือติดตามรับฟังการอ่านคำวินิจฉัยคดี เจ้าหน้าที่ได้จัดพื้นที่บริเวณโถงกลางของอาคารเอ พร้อมติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจาก สน.ทุ่งสองห้องและกองบังคับการตำรวจนครบาล2 คอยดูแลรักษาความปลอดภัย เหมือนใช้ในการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ ทั้งนี้ การจัดกำลังตำรวจเบื้องต้นใช้ 1กองร้อย แต่จะปรับตามจำนวนกลุ่มผู้สนับสนุนที่จะเดินทางมา
‘บิ๊กป้อม’ย้ำไม่ต้องสั่งดูแลพิเศษ
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยคดีปมการถือหุ้นของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ว่า ไม่มีอะไร เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณา ก็ดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ คงไม่ต้องไปกำชับ หรือ ดูแลอะไรเป็นพิเศษ เมื่อถามว่า จะมีประชาชนแห่มาให้กำลังใจนายธนาธร เป็นจำนวนมาก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถามว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินออกมา เป็นห่วงว่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่ตอบคำถามนี้
กกต.ตอบโต้’ธนาธร’ฟอก7กกต.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้เผยแพร่เอกสารข่าวเรื่องการดำเนินการกรณีส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงโดยระบุว่าตามที่ปรากฏข่าวว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยื่นฟ้อง กกต.ทั้ง7คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจากกรณีการไต่สวนเรื่องการถือครองหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดียจำกัดโดยที่ กกต.ไม่รอให้การไต่สวนเรียกพยานเข้าสอบปากคำของคณะอนุกรรมการ แต่รวบรัดส่งคดีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการจะเสร็จสิ้นนั้น เรื่องดังกล่าว กกต.เคยชี้แจงไปแล้ว
งัดข้อกม.ยึดขั้นตอน-ปัดเร่งรัดคดี
และขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงของการดำเนินการของกกต.ว่า1.การดำเนินการกรณีสมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82วรรคสี่ ไม่ได้อยู่ในนิยามของกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ดังนั้นการดำเนินการจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 ซึ่งเมื่อกกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.คนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงก็สามารถยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ทันทีซึ่งในกรณีของนายธนาธรเป็นความปรากฏต่อ กกต.ว่าสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้น(แบบ บอจ.5)มีชื่อนายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) กกต.จึงได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
2.การดำเนินการกรณีคดีอาญา เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 151(ผู้ใดรู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ)ซึ่งมีการบวนการไต่สวนตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนต้องแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอสำนวนต่อ กกต.เพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดซึ่งต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาทราบข้อกล่าวหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมทั้งให้โอกาสมาให้ถ้อยคำหรือแสดงพยานหลักฐานด้วย
รู้อยู่ว่าขาดคุณสมบัติยังสมัครสส.
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีผู้กล่าวหาว่า นายธนาธร ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6)ประกอบมาตรา98(3)รู้อยู่ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามซึ่งกกต.ได้ดำเนินการตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 ซึ่งขณะนี้เป็นสำนวนที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนซึ่งกกต.ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
มติกกต.ให้อนค.แจงกู้เงิน’ธนาธร’
ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงเรื่องการพิจารณาคดีการกู้ยืมเงินของพรรคอนาคตใหม่(อนค.)ว่าได้ประชุมพิจารณาสำนวนการสืบสวนกรณีมีผู้กล่าวหาว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินของตนเอง ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามมาตรา66แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560โดยได้บริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินกว่าสิบล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปี ในการนี้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งได้ดำเนินการเป็นไปตามกระบวนการ และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดทุกประการแล้ว
ทั้งนี้ มติของคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาในเรื่องดังกล่าวข้างต้นปรากฏข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต่อไป โดยเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นเอกสารที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งได้เคยเรียกเอกสารดังกล่าวแล้ว แต่พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ให้แก่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
‘ชวน’ยันกฎเหล็กกมธ.ปัดเอื้อใคร
ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านออกมาระบุว่าการออกประกาศระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใดที่มีความเกี่ยวข้องกันของคณะกรรมาธิการหลายคณะ พ.ศ. 2562ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หลังคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปช.)สภาผู้แทนราษฎร เรียกมาให้มาชี้แจงกรณีที่อ้างว่ามีการถวายสัตย์ปฏิภาณฯ ไม่ครบถ้วน จึงไม่มีอำนาจเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563ว่ายืนยันว่าระเบียบออกมาตามข้อบังคับการประชุมสภาซึ่งมีการระเบียบทำนองเดียวกันมาตั้งแต่สภาชุดก่อนๆเพียงแต่ข้อปฏิบัติเปลี่ยนไป แต่เนื้อความเหมือนกัน คือ กรรมาธิการฯ ต้องรายงานประธานสภาฯไม่ได้มีอะไรแปลกไป
ชี้อดีตเคยใช้กฎนี้ไม่เห็นมีใครบ่น
“เพียงแต่แปลกใจว่าทำไมถึงมีปัญหาเพราะสภาชุดก่อนตั้งแต่ปี2552เขาก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นมีใครบ่น การออกประกาศครั้งนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ เขาคิดไปเอง ตามความรู้สึก ประเภทที่คิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างเขา แต่ประธานไม่ได้คิดอย่างนั้น เราทำตามหน้าที่ และตามข้อบังคับ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เพียงแต่คนอาจจะลืมไปอ่านระเบียบเดิม สมัยที่พวกเขา เป็นรัฐบาลและประธานสภา ถ้าอ่านก็จะรู้ว่าของเดิมเป็นอย่างนี้ ระเบียบเป็นอย่างนี้ประธานก็ต้องลงนาม และกรรมาธิการแต่ละชุดก็จะรายงานโดยผ่านเลขาธิการ”นายชวน กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตฯ จะแต่งตั้ง นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาประธาน กมธ.นั้น นายชวน กล่าวว่า ปกติกรรมาธิการฯแต่ละชุดจะพิจารณาแต่งตั้งเอง สมมติว่ามีการตั้งที่ปรึกษาฯ โดยไม่ผ่านมติที่ประชุม กรรมาธิการฯเหล่านั้นจะเป็นผู้พิจารณาเอง ปกติเรื่องพวกนี้ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะจะต้องเป็นมติของกรรมาธิการฯ
แห้วถกกมธ.แก้รธน.วาระค้างอึ้อ
เมื่อถามว่าตกลงญัตติด่วนเรื่องขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ทันในสัปดาห์นี้ใช่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า สัปดาห์นี้มีวาระเพื่อทราบ 5 เรื่อง ก็ต้องเอาให้จบ คาดว่าน่าจะเสร็จในสัปดาห์นี้และยังมีเรื่องที่คณะกรรมาธิการฯพิจารณาเสร็จแล้วอีกหนึ่งเรื่องคือ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาษาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร
เมื่อถามว่าได้ยินข่าวที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติ ระบุว่าสภามีการปิดห้องซื้อ ส.ส. งูเห่าหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า ไม่เคยได้ยินข่าวนี้ แต่อยากจะบอกว่า สัตว์ทุกชนิด ก็ต้องระวังไม่ให้เข้ามา เพราะจะเป็นพิษเป็นภัย ส่วนข่าวนี้จะทำให้ภาพพจน์ของสภาเสียหายหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ขอให้เห็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา เดี๋ยวจะมีปัญหากระทบกัน คงต้องไปถาม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เอง
ถก22พย.ไม่มีตั้ง กมธ.แก้รธน.
ด้านนพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การประชุมสภาฯในวันที่ 20-21พฤศจิกายน มีเรื่องรับทราบจำนวน 5 เรื่อง ดังนั้น การพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทันภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการอภิปรายของส.ส.ในเรื่องการรับทราบที่เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาฯ 5เรื่องและยังมีญัตติด่วน เรื่อง การคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากการใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ตามมาตรา44จากนั้นถึงจะถึงการพิจารณาญัตติการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ การประชุมสภาฯนัดพิเศษวันที่22พฤศจิกายนนั้นมีเฉพาะการพิจารณาญัตติทั่วไปที่ค้างอยู่เท่านั้นโดยไม่มีการพิจารณาญัตติที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
เทพไทหนุนชวนให้งานสภาเรียบร้อย
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวสนับสนุนกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของคณะกรรมาธิการต่างๆ เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานสภาฯโดยตรง ที่สามารถออกระเบียบเกี่ยวกับกิจการใดๆของสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้ข้อบังคับการประชุมสภา นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง ที่ประธานสภาได้จัดระเบียบการทำงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวของกับกิจการของรัฐสภา เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นการสร้างบรรทัดฐานในการทำงานของระบอบรัฐสภาต่อไป เป็นการออกระเบียบตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อ90 ไม่ใช่การลุแก่อำนาจ หรือทำไปตามอำเภอใจ เพื่อกลั่นแกล้งใครคนใดคนหนึ่ง นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะใช้เป็นแบบอย่างหรือแนวทางการทำงานของคณะกรรมาธิการทุกคณะ
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาชุดนี้ มีประธานคณะกรรมาธิการ ที่มาจาก ส.ส.สมัยแรกจำนวนมากถึง11คณะ ซึ่งยังขาดประสบการณ์ในการทำหน้าที่ เพราะไม่เคยนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการมาก่อน ถ้าไม่มีการวางกรอบ หรือแนวทางในการทำงานให้เป็นอย่างที่ถูกต้อง ก็จะทำให้การทำงานของคณะกรรมาธิการไม่บรรลุเป้าหมายตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับการประชุมสภา และรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานรัฐสภา เปรียบเสมือนประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ นายชวนได้วางตัวเป็นกลาง และปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมทุกประการ เป็นส.ส.ที่มีอาวุโสสูงสุดในสภา”นายเทพไท กล่าว
’วัฒนา’โชว์เสรีฯตั้งที่ปรึกษาล่วงหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยได้โพสต์เฟซบุ๊คโชว์เอกสารประกาศ แต่งตั้ง ตัวเองเป็น1ใน 8 ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรเอกสารระบุลงนาม โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธาน กมธ.ป.ป.ช.โดยอ้างเป็นผลมาจากมติที่ประชุมกรรมาธิการฯ ครั้งที่ 11ในวันที่ 20 พ.ย.2562โดยให้ที่ปรึกษาประธานกมธ.ป.ป.ช. มีอำนาจให้คำปรึกษาการกระทำหรือศึกษาเรื่องใดๆรวมถึงงานที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมาธิการ พร้อมลงวันที่ประกาศ ณ วันที่ 20 พ.ย.2562ปรากฎถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าเป็นการลงนามแต่งตั้งก่อนการประชุมจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะวันที่นายวัฒนา เผยแพร่เป็นวันที่18 พ.ย.ซึ่งโพสต์ล่วงหน้าถึง 2 วัน
‘ปารีณา’แจ้งความเอาผิด’วัฒนา’
โดย น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกมธ. ป.ป.ช.ได้ไปแจ้งที่ สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ไว้เป็นหลักฐานต่อพ.ต.ต.อาทิตย์ พลังนา สว.(สอบสวน)สน.ทองหล่อโดยระบุว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Wattana Muangsookที่ได้โพสต์ข้อความเป็นรูปภาพของเอกสารฯดังกล่าว ซึ่งเป็นประกาศของ กมธ.ป.ป.ช.ที่9/2562 เรื่อง ตั้งที่ปรึกษาประธาน กมธ.ป.ป.ช.โดยผู้ใช้บัญชีWattana Muangsookได้โพสต์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2562 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคำสั่งดังกล่าว น่าจะเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จเนื่องจากคำสั่งลงวันที่ 20 พ.ย.2562 แต่ปัจจุบันเพิ่งเป็นวันที่ 18 พ.ย.2562 เป็นการนำเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นมาโพสต์ ดังนั้นจึงมาแจ้งที่สน.ทองหล่อ เพื่อร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ค Wattana Muangsook ตามกฎหมาย จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ลั่น‘เสรีฯกับวัฒนา’ต้องรับผิดชอบ
ทั้งนี้ นายสิระให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกมธ.ปปช.แต่งตั้งนายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นที่ปรึกษาประธาน กมธ.ชุดนี้ เป็นวันที่ 20 พ.ย.62ซึ่งมาก่อนล่วงหน้าหลังจากนายวัฒนาโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่18พ.ย.ว่าหาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เซ็นเอกสารจริงจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ หากบอกว่าไม่ได้เซ็นก่อนที่จะมีมติของกมธ. ตัวพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ต้องรับผิดชอบเองเช่นกัน อาจจะเข้าข่ายความผิดประพฤติมิชอบ ส่วน นายวัฒนาก็อาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560ที่เอาข้อมูลเป็นเท็จมาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก คิดว่า เรื่องนี้จะมีคนใดคนหนึ่งกระทำความผิด และเห็นว่านายวัฒนาไม่เหมาะที่จะนั่งที่ปรึกษาประธานกมธ. เพราะเคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร
ซัดผิดรุนแรงไม่เหมาะนั่งปธ.ต่อ
นายสิระ ยอมรับว่าไม่ทราบว่ามีการแต่งตั้ง นายวัฒนา เป็นที่ปรึกษาเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของกมธ.ที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตและยังกระทบถึงการทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่ว่า ใครจะคิดทำอะไรก็ได้ เพราะมีกฎหมายและข้อบังคับ หากฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เคารพกฎหมาย ถือว่า เป็นความผิดรุนแรงมาก ตอนนี้กำลังเก็บรวบรวมหลักฐานเรื่องนี้อยู่ ขณะเดียวกันขอให้ กมธ.ใช้ดุลยพินิจตัดสินว่า พล.ต.อ.เสรีศุทธ์ เหมาะสมที่จะเป็นประธาน กมธ.หรือไม่ และยืนยันว่าสามารถเอาพล.ต.อ.เสรีศุทธ์ พ้นจากตำแหน่งได้ เพียงแต่ตัวประธานกมธ. ยังต้องยึดโควตาฝ่ายค้านอยู่
‘สิระ’ฟ้องอาญา’เสรีฯ’หมิ่นประมาท
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสิระ เจนจาคะ สส.กทม.พรรค พปชร.พร้อม นายทิวา การกระสัง ทนายความ เดินทางมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 14พ.ย.62 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขณะปฏิบัติหน้าที่สส.และประธาน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยข้อความลักษณะเปรียบเทียบเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์และกล่าวหาหรือใส่ความโจทก์ทำนองว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แจกเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนโจทก์ในการปลดจำเลยออกจากการเป็นประธาน กมธ.ที่มีเจตนามุ่งทำลายชื่อเสียงโจทก์ ทำลายความน่าเชื่อถือ โดยศาลรับคำฟ้องและนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 3ก.พ.63
‘สิระ-ปารีณา’ดอดเข้าทำเนียบฯ
ก่อนหน้านี้ ช่วงเช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และกรรมาธิการ (กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เดินทางมาตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ขณะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)อยู่โดยปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่ามาพบกับใคร และเวลาไล่เลี่ยกัน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรค พปชร.ซึ่งเป็นกมธ.ชุดเดียวกันได้เดินทางมา ที่ตึกบัญชาการ 1ทำเนียบฯ เช่นกัน
ทั้งคู่แจงมาร้องเรียนปชช.เรื่องที่ดิน
ต่อมาเวลา 12.30น.น.ส.ปารีณา ใช้เวลาอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ประมาณ3ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับโดยลงลิฟท์มาที่ชั้น1ตึกบัญชาการ 1 เมื่อเจอผู้สื่อข่าวยืนรอสัมภาษณ์อยู่ น.ส.ปารีณาหลบเข้าไปในลิฟท์กลับขึ้นไปบนอาคารอีกครั้งและเปลี่ยนมาลงทางบันไดของตึกบัญชาการ2โดยผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงสาเหตุที่เข้ามายังทำเนียบ แต่น.ส.ปารีณา ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ ระบุเพียงว่ามายื่นร้องเรียนความเดือดร้อนประชาชน จากนั้นขึ้นรถยนต์ออกจากทำเนียบรัฐบาลไปในทันที
ด้านนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพปชร.เผยว่าดินทางมา เพราะต้องการมายื่นเรื่องร้องเรียนที่ดินเกาะช้าง จ.ตราด เพราะมีรัฐมนตรีหลายคนเข้ามาประชุมครม.โดยไม่เกี่ยวข้องกับการประชุม กมธ.ปปช. พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้พบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร.
‘บิ๊กป้อม’ยันไม่ได้พบ’สิระ-ปารีณา’
บ่ายวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยืนยัน ไม่ได้พบกับน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี และนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ที่เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะเพิ่งประชุม ครม.เสร็จ ซึ่งทั้ง2คนจะมาเรื่องอะไร ตนไม่ทราบ เขาอาจจะมาคุยกับคนอื่นหรือเปล่า
เมินกมธ.เชิญ-ตนก็มีอำนาจเช่นกัน
เมื่อถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช.เชิญไปชี้แจงเป็นครั้งที่ 4 พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ได้ตอบคำถามไปหมดแล้ว ซึ่งตนจะให้ตัวแทนไปมอบให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ในวันที่20พ.ย.และเชื่อว่าในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็มอบผู้แทนไปชี้แจงเช่นเดียวกัน แม้การเชิญไปชี้แจง จะเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ก็แล้วแต่เขา ตนไม่ได้รู้สึกว่า ถูกกลั่นแกล้ง เขาอยากทำอะไร ก็ทำหากมีอำนาจ ซึ่งตนก็มีอำนาจของตน เช่นเดียวกัน
ส่วนกรณีพล.ต.อ.เสรี แต่งตั้งนายวัฒนา เมืองสุข เป็นที่ปรึกษาประธานนั้น พล.อ.ประวิตร ย้อนถามพร้อมอมยิ้มว่า“ตั้งได้หรอ วันนี้วันที่ 19 พ.ย.แต่หนังสือลงวันที่ 20 พ.ย.เมื่อถามอีกว่ามองเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า“มันถูกหรือ ไม่ถูกหรอก”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี