เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ค้าขายหาบเร่แผงลอยที่ได้รับผลกระทบจากการที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยกเลิกจุดผ่อนผันเกือบทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ที่เคยใช้กฎหมายอนุญาตให้ทำการค้าขายได้ เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บรรจุเรื่องหาบเร่แผงลอยอยู่ในนโยบายเร่งด่วนด้านการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนของรัฐบาล
นายเรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวในแถลงการณ์ของเครือข่ายฯ ว่า จากนโยบายจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน หรือรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.เป็นนายกฯ ที่ผ่านมาทางกลุ่มผู้ค้าในเขตต่างๆ พยายามปรับปรุงสภาพแผงค้าตามกฎระเบียบที่ กทม. เคยวางไว้มาตลอด เช่น ลดความกว้างของแผงลงให้มีทางเดินเพิ่มขึ้น รวมถึงการรักษาความสะอาด
แต่ถึงกระนั้น กทม.กลับยังคงเดินหน้ายกเลิกจุดผ่อนผันอย่างต่อเนื่อง จากเดิมประมาณ 800 จุด ปัจจุบันเหลือเพียงร้อยกว่าจุดเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผู้ค้าพร้อมครอบครัวจำนวนหลายแสนคน ที่ต้องสูญเสียความสามารถในการหารายได้เพื่อดำรงชีวิต ซึ่งจำนวนมากเป็นคนสูงอายุที่หมดโอกาสในการหาอาชีพอื่นทำ ในแต่ละปีมีเงินจำนวนกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งหมุนเวียนในการค้าขายริมทาง และแทบจะเป็นเพียงช่องทางเดียวที่เงินเหล่านี้สามารถลงมาถึงกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากหรือผู้มีรายได้น้อยโดยตรง
“หากผู้ค้าถูกไล่ไปหมดแล้ว เงินเหล่านี้จะกลับเข้าไปสู่กลุ่มทุนใหญ่จนหมด ทั้งร้านสะดวกซื้อรวมถึงห้างสรรพสินค้า การที่ผู้ค้าได้ปรับปรุงตัวแล้วแต่ก็ยังถูกกระทำในลักษณะกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง โดย กทม. ประกาศว่าจะให้ออกจากพื้นที่ทั้งหมดทุกเขตภายในสิ้นปีนี้นั้น สวนทางกับที่ท่านนายกได้แถลงนโยบายเร่งด่วนต่อรัฐสภาเอาไว้ ว่าจะทบทวนรูปแบบหาบเร่แผงลอย ยังไม่นับรวมที่พรรคพลังประชารัฐสัญญากับผู้ค้าเมื่อตอนหาเสียง” ปธ.เครือข่ายแผงลอยฯ กล่าว
นายเรวัตร กล่าวต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน เพราะอาจได้รับรายงานที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อีกทั้งไม่ทราบถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์นายทุน จึงตัดสินใจมาขอความเมตตา โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.ขอให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่าง กทม.กลุ่มผู้ค้า และนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณากฎเกณฑ์และมาตรฐานการค้าบนทางเท้า โดยมีตัวแทนจากนายกฯ เป็นประธาน เพราะที่ผ่านมากลุ่มผู้ค้าพยายามนำเสนอต่อ กทม.หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับความสนใจหรือแม้กระทั่งรับฟัง
กับ 2.ขอให้ชะลอการไล่ผู้ค้าจากจุดผ่อนผันที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันออกไปก่อน รวมถึงอนุโลมให้ผู้ค้าในจุดที่ถูกไล่ไปแล้วซึ่งพร้อมปรับปรุงตัว ได้กลับมาขายเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่คณะทำงานยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะขณะนี้ผู้ค้าจำนวนมากแทบไม่มีจะกิน และไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลแต่อย่างใด ทั้งนี้ กลุ่มผู้ค้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความอนุเคราะห์จากท่านนายกฯ ในการพิจารณาและสั่งการเพื่อแก้ไขปัญหาดังที่กล่าวแล้วข้างต้นอย่างเร่งด่วน โดยขอให้สัญญาว่าจะยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบทุกประการเมื่อได้ข้อยุติ
(26 พ.ย.2562) ธันวา ไกรฤกษ์ สมาชิกและอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
ที่มา : https://www.facebook.com/ThanvaGood/posts/459885324569901
ในวันเดียวกัน นายธันวา ไกรฤกษ์ สมาชิกและอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งร่วมเดินทางไปกับเครือข่ายแผงลอยไทยฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า “ตอนถ่ายรูปนี้ผมปวดหลังมากจนยืนแทบไม่ไหว พอออกจากทำเนียบก็ไปโรงพยาบาลเลย แต่เมื่อทุกคนยิ้มได้แม้จะลำบากกันมาหลายปี ..ดังนั้นผมก็ยิ้มได้สบายมากครับ”
“ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม อยากให้รู้ว่าผมเต็มที่แล้ว และไม่เคยหวังอะไรจากเรื่องนี้แม้แต่น้อย แถมยังถูกด่ามากกว่าชมด้วยซ้ำไป ที่ทำอยู่ทุกวันนี้เพราะความเห็นใจ ความเข้าใจ และรู้ว่ารัฐบาลสามารถบริหารได้ดีกว่านี้ ผมเชื่อว่าสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทั้งผู้ค้าหาบเร่แผงลอย คนเดินเท้า และเจ้าของตึกแถวริมถนน”
“คนที่ถืออำนาจรัฐควรมองการพัฒนาเมืองให้ครบทุกมิติ หากบ้านเมืองเป็นระเบียบ 100% แล้วคนอดอยากนับแสน ก็ต้องมาคิดว่าลดลงให้เหลือสัก 70% แล้วคนมากมายมีชีวิตรอดจะดีกว่าหรือไม่ ปล.เข้าใจว่าอยากเป็นเหมือนต่างประเทศ แต่อย่าลืมว่าบริบทมันต่างกัน ไทยยังมีความเหลื่อมล้ำสูงติดอันดับโลก คนยากจนเต็มเมือง การส่งเสริมให้คนฐานรากพึ่งพาตนเองได้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม”
สำหรับข้อพิพาทระหว่างกลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกับ กทม. นั้นเริ่มต้นอย่างจริงจังมาเมื่อช่วงปลายปี 2561 เมื่อทางกระทรวงมหาดไทย (มท.) มีหนังสือด่วนลงวันที่ 13 พ.ย. 2561 ลงนามโดย นายธนาคม จงจิระ รองปลัด มท. ปฏิบัติราชการแทนปลัด มท. ส่งถึงปลัด กทม. ขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าหาบเร่ - แผงลอย จำนวน 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.จัดทำแผนเยียวยา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคมตามแนวทางคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งกำหนดมาตรการแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว
2.ขอความอนุเคราะห์พิจารณาให้กลุ่มผู้ค้าฯ ทำการค้าขายในพื้นที่เดิมไปก่อน จนกว่าจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และ 3.จัดประชุมสำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต ร่วมกับกลุ่มผู้ค้าฯ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาพื้นที่ค้าขายร่วมกัน โดยให้ กทม.รายงานให้ มท.ทราบภายในวันที่ 22 พ.ย. 2561 แต่ในเวลาต่อมา วันที่ 21 พ.ย. 2561 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ประกาศไม่ยอมให้ผู้ค้าที่ถูกยกเลิกจุดผ่อนผันไปแล้วกลับมาค้าขายได้อีกโดยเด็ดขาด พร้อมกับบอกด้วยว่าจะไม่แจ้งผลดำเนินการที่ต้องรายงานกลับไปยังปลัด มท. เพราะตนไม่เห็นด้วย
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561 นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัด กทม.ก็ออกมาย้ำในทำนองเดียวกัน และจะเดินหน้านโยบายจัดระเบียบทางเท้าต่อไป รวมถึงเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2562 นายจิรวัฒน์ แพงมา ผอ.สำนักเทศกิจ กทม. เปิดเผยถึงความคืบหน้านโยบายคืนทางเท้าให้ประชาชน ว่า ที่ผ่านมา กทม. ยกเลิกจุดผ่อนผันผู้ค้าหาบเร่แผงลอยไปแล้ว 508 จุด และจะยกเลิกจุดผ่อนผันที่เหลืออีก 175 จุดภายในสิ้นปี 2562
และแม้ในวันที่ 25 พ.ย. 2562 จะมีการประชุมร่วมกันระหว่าง มท. กับ กทม. และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยบนทางเท้า โดยตอนหนึ่ง นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การผ่อนผันในพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากสีลม-เยาวราช ที่ กทม. จะส่งเสริมให้เป็นถนนคนเดินนั้น กทม. จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บช.น. เพื่อกำหนดจุดที่มีความเหมาะสม แต่ทางกลุ่มผู้ค้าฯ ยังรู้สึกไม่มั่นใจ จึงต้องการแสดงออกเพื่อให้ภาครัฐได้รับรู้ดังกล่าว
ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 20 ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือในสถานสาธารณะ (2) ใช้รถยนต์หรือล้อเลื่อนเป็นที่ปรุงอาหารเพื่อขายหรือจำหน่ายให้แก่ประชาชนบนถนนหรือในสถานสาธารณะ (3) ขายหรือจำหน่ายสินค้าซึ่งบรรทุกบนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือล้อเลื่อน บนถนนหรือในสถานสาธารณะ ,
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การปรุงอาหารหรือการขายสินค้าตาม (1) หรือ (2) ในถนนส่วนบุคคลหรือในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศผ่อนผันให้กระทำได้ในระหว่างวัน เวลาที่กำหนด ด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร” หรือตีความไดว่า การเปิดจุดผ่อนผันค้าขายบนพื้นที่สาธารณะสามารถทำได้ ภายใต้ความเห็นชอบร่วมกันของพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ คือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น ใน กทม. คือผู้ว่าฯ กทม. หรือปลัด กทม. ส่วนเจ้าพนักงานจราจร หมายถึงหน่วยงานตำรวจที่รับผิดชอบท้องที่นั้นๆ เช่น ใน กทม. คือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นต้น
ทั้งนี้ ในนโยบายเร่งด่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำไปแถลงต่อรัฐสภาเมื่อปลายเดือน ก.ค. 2562 ข้อแรกว่าด้วยการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ตอนหนึ่งระบุว่า “..ทบทวนรูปแบบและมาตรฐานหาบเร่แผงลอยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยังคงเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งร้านอาหารริมถนน ทำให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม..” ซึ่งมีการตีความว่าหมายถึงการรักษาสมดุลในการดำรงอยู่ของอาชีพหาบเร่แผงลอย ที่มุมหนึ่งคือเสน่ห์ของเมือง แต่ขณะเดียวกันการดำรงอยู่ต้องจัดให้เป็นระเบียบด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ชาวแผงลอยถามหาธรรมาภิบาล'อัศวิน' หลังไม่ทำตามข้อเสนอมท.อนุโลมค้าขายบนทางเท้า
- เปิดนโยบายรัฐบาล66หน้า! 12นโยบายหลัก-12นโยบายเร่งด่วน
- ‘หาบเร่แผงลอย’สูญพันธุ์! กทม.เดินหน้ายกเลิกจุดผ่อนผัน คาดสิ้นปีนี้เกลี้ยง100%
- มาแล้วถนนคนเดิน! 'มท.-กทม.'เคาะลงตัวจัดระเบียบอุ้มหาบเร่-แผงลอย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี